xs
xsm
sm
md
lg

“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” วิเคราะห์วิกฤตศรัทธาการเมืองไทย ชี้ทางรอดนายกคนนอกคือโอกาสสุดท้ายของไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ศ.ดร.เกรียงศักดิ์” วิเคราะห์ วิกฤตศรัทธา คนไทยสิ้นหวังต่อการเมืองระบบเดิม พบ ปชช.ถวิลหานายกฯ ดี-เก่ง มีคุณธรรม โปร่งใส ชี้ นายกฯ พลเรือนนอกบัญชี ตาม รธน.มาตรา 5 ทางรอดสุดท้ายของประเทศ

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI)
ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา(IFD) วิเคราะห์กรณี วิกฤตนายกรัฐมนตรีและทางรอดประเทศไทย เมื่อ "คนดี เก่ง กล้า" คือคำตอบสุดท้าย ว่า ท่ามกลางกระแสความผันผวนทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่รุมเร้าประเทศไทยในขณะนี้ ประชาชนจำนวนมากต่างตกอยู่ในภาวะสิ้นหวังและตั้งคำถามถึงอนาคตของชาติ

สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผ่าน "IFD Poll" เพื่อสะท้อนเสียงจากคนไทย บทความนี้จะนำเสนอผลการสำรวจผสานกับการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองล่าสุด เพื่อชี้ให้เห็นว่าทำไมกลไกปกติอาจไม่ใช่ทางออกและคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีแบบใดที่จะพาไทยให้รอดพ้นจากปากเหวแห่งวิกฤตได้

โดยประการที่ 1. คุณสมบัตินายกรัฐมนตรีที่คนไทยต้องการ: ภาพสะท้อนจากเสียงประชาชน จากผลสำรวจ IFD Poll สะท้อนให้เห็นถึงเจตจำนงอันแรงกล้าของประชาชนที่ต้องการผู้นำที่มีคุณสมบัติครบถ้วน 3 ประการคือ "ดี เก่ง และ กล้า" โดยหากพิจารณาเจาะลึกในรายละเอียดจะพบว่า คุณสมบัติที่คนไทยให้ความสำคัญสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งคือ ความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งมีคะแนนสูงถึงประมาณร้อยละ 23 รองลงมา คือ ความต้องการผู้นำที่ เก่งรอบด้าน มีทักษะหลากหลาย สามารถบูรณาการการทำงานเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้จริง ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 18 ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าพื้นฐานความดีและความเก่งยังคงเป็นเสาหลักที่สังคมไทยยึดถือ

เมื่อวิเคราะห์ถึงความต้องการระหว่างความ "เก่ง" กับความ "ดี" พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 48.67 ปรารถนาผู้นำที่ ผสมผสานทั้งสองคุณสมบัติ เข้าด้วยกันอย่างลงตัว แต่ในบริบทที่บ้านเมืองต้องการทางออก หากจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ประชาชนส่วนหนึ่งพร้อมจะเทน้ำหนักไปที่ "คนเก่ง" ที่บริหารจัดการได้ (ร้อยละ 27.83) มากกว่าคนดีแต่ขาดทักษะการบริหาร ซึ่งเมื่อประมวลภาพรวมทั้งหมดแล้ว กลุ่มที่ต้องการทั้งคนเก่งและคนดีรวมกันนั้นมีสัดส่วนสูงเกือบถึงร้อยละ 92 (โดยมีเพียงร้อยละ 8 ที่เน้นหนักไปที่เรื่องความกล้าเปลี่ยนแปลง) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าสังคมไทยไม่พร้อมจะยอมรับผู้นำที่ขาดตกบกพร่องในด้านใดด้านหนึ่งอีกต่อไป

นอกจากคุณสมบัติพื้นฐานแล้ว อีกหนึ่งนัยสำคัญที่น่าสนใจคือความคาดหวังใน "มิติระยะยาวและมิตินานาชาติ" ประชาชนให้ความสำคัญกับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ในการวางยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวถึงร้อยละ 15 และต้องการผู้ที่มองโลกกว้าง เข้าใจบริบทการต่างประเทศเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติอีกร้อยละ 13 เมื่อรวมสองมิตินี้เข้าด้วยกันจะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 28 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยไม่ได้ต้องการเพียงแค่ผู้จัดการปัญหาภายในบ้าน แต่กำลังถวิลหาผู้นำระดับ "อินเตอร์" ที่สามารถพาประเทศไทยไปยืนบนเวทีโลกได้อย่างสง่างามและวางรากฐานอนาคตของประเทศได้อย่างมีวิสัยทัศน์ระยะยาวและมียุทธศาสตร์

ส่วนสุญญากาศแห่งนายกรัฐมนตรี: เมื่อตัวเลือกปัจจุบัน "สอบตก" ในสายตาประชาชน เมื่อหันกลับมามองความเป็นจริงในสนามการเมืองปัจจุบัน สถานการณ์กลับสวนทางกับความคาดหวัง จากการวิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดพบว่าตัวละครทางการเมืองที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคุณอนุทิน หรือพรรคประชาชน ต่างประสบปัญหาในการสร้างคะแนนนิยม โดยผู้สมัครที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่ถูกสอบถามคะแนน สอบตกหมดทุกคน ผู้ที่ได้คะแนนนำสูงสุด คือ คุณณัฐพงษ์ ได้คะแนนร้อยละ 23.14, ตามมาด้วย คุณอนุทิน ร้อยละ 14.85 และคุณอภิสิทธิ์ ร้อยละ 11.23 ซึ่งแสดงถึงการ "เสื่อมศรัทธา สิ้นหวัง" ต่อการเมืองในระบบเดิม ๆ

หากวิเคราะห์ในกรณีของคุณอนุทิน แม้จะมีความพลิ้วไหวทางการเมืองสูงและพยายามใช้จังหวะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาและกระแสชาตินิยมเพื่อเรียกคะแนนเสียง เปรียบเสมือน "บอลเข้าเท้า" ที่ฝ่ายการเมืองหวังใช้เป็นตัวช่วย แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เพราะความบอบช้ำจากการบริหารจัดการน้ำท่วมและความรู้สึกว่าการแก้ปัญหาชายแดนถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าความจริงใจ ทำให้คะแนนนิยมไม่ได้กระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะเดียวกัน พรรคประชาชนเองก็เดินเกมผิดพลาด โดยเฉพาะการตัดสินใจไปหนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อยในตอนแรกด้วยความหวังเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นเพียง "ปาหี่" ทางการเมืองที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง การอ่านเกมที่ไม่ขาดและการสื่อสารเรื่องบทบาทของกองทัพในช่วงสถานการณ์ชายแดนที่ผิดพลาด ทำให้เสียคะแนนจากทั้งฐานเสียงเดิมและกลุ่มอนุรักษนิยม


ผลโพลสะท้อนให้เห็นว่ารายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีที่มีอยู่ปัจจุบันทุกคน "สอบตก" ในสายตาประชาชน คะแนนความนิยมที่ต่ำบ่งบอกว่าประชาชนไม่เชื่อมั่นว่านักการเมืองหน้าเดิมเหล่านี้จะนำพาประเทศฝ่าวิกฤตไปได้

3. เสียงสะท้อนแห่งความสิ้นหวัง: การแสวงหาทางออกนอกวิถีเดิม สุญญากาศแห่งนายกรัฐมนตรีและความล้มเหลวของพรรคการเมืองที่มีอยู่ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ "ระบบ" การเมืองปัจจุบันอย่างรุนแรง และกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาเส้นทางใหม่ๆ เพื่อนำพาประเทศออกจากทางตัน ผลสำรวจได้สะท้อนถึงแนวโน้มนี้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อถามถึงวิธีการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีที่สามารถนำพาประเทศให้ก้าวหน้าได้ ผลลัพธ์ที่ได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนอย่างชัดเจน

• ผ่านระบบเลือกตั้งปัจจุบัน: ร้อยละ 44
• เปิดทางให้คนนอกบัญชีรายชื่อพรรค: ร้อยละ 41
• รอพรรคการเมืองเกิดใหม่: ร้อยละ 15

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าตกใจว่า เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนรวมกันถึงร้อยละ 56 (นายกฯ นอกบัญชี + พรรคเกิดใหม่) กำลังมองหาทางออก นอกระบบเดิม จากผลของ IFD Poll ชี้ให้เห็นว่านี่คือสัญญาณว่าความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อระบบการเมืองปัจจุบันนั้นมีไม่ถึงครึ่งหนึ่ง สภาวะดังกล่าวสะท้อนความรู้สึกที่ว่าประชาชนได้ "เสื่อมศรัทธา สิ้นหวังกับการเมืองในปัจจุบันในระบบเดิม" ไปแล้ว

4. บทสรุปที่มิอาจเลี่ยง: สู่ทางออกสุดท้ายด้วย "นายกมาตรา 5"

เมื่อนำภาพทั้งหมดมาประกอบกัน ทั้งภาพนายกฯ ในอุดมคติ ความล้มเหลวของตัวเลือกปัจจุบัน และเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการทางออกใหม่ ย่อมนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความเป็นไปได้สูงและอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือการเกิดขึ้นของนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ทางเลือกนี้ถูกมองว่าเป็นความจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะเมื่อประเทศกำลังเผชิญหน้ากับภาวะที่ผมได้เตือนแล้วว่า "จะตกต่ำอย่างรุนแรงต่อไปถ้าไม่มีวิธีพิเศษทางการเมือง"
ข้อค้นพบจากผลสำรวจที่ว่าประชาชนถึงร้อยละ 41 สนับสนุนแนวคิด "นายกฯ นอกบัญชี" จากมาตรา 5 มีความสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนนิยมสูงสุดของผู้สมัครในระบบอย่างคุณณัฐพงษ์ที่ร้อยละ 23 จะเห็นได้ว่าแนวคิดเรื่องนายกฯ คนนอกนั้นได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่าอย่างทิ้งห่าง นี่คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่าหากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีตามช่องทางของรัฐธรรมนูญมาตรา 5 จะมีแรงต้านจากสังคมน้อยมาก แต่มีแรงสนับสนุนเป็นส่วนใหญ่
สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ ทางออกนี้ ไม่ใช่การรัฐประหาร ซึ่งผลสำรวจในอดีตชี้ชัดว่าประชาชนไม่ต้องการ ขณะที่ "นายกฯ มาตรา 5" นี้เป็นเส้นทางที่ "ถูกทำนองคลองธรรม" ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องไม่ใช่ผู้นำทหารแต่เป็นผู้นำพลเรือนที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันและการต่อต้านจากประชาคมโลก

อย่างไรก็ตาม การเฟ้นหาบุคคลที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งนี้เป็นภารกิจที่ยากอย่างยิ่งยวด โดยนักวิเคราะห์ได้จำแนกกลุ่มบุคคลที่มีศักยภาพออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนมีจุดอ่อนสำคัญในตัวเอง
• อดีตข้าราชการระดับสูง : แม้มีประสบการณ์ แต่บ่อยครั้งขาดมุมมองแบบองค์รวมต่อประเทศ และอาจไม่ใช่บุคคลที่มีคุณภาพสูงที่สุด
• ทหาร : ขาดความเข้าใจในมิติอื่นๆ ของประเทศที่ซับซ้อน และจะถูกมองในแง่ลบจากนานาชาติ
• นักวิชาการ : อาจมีความคิดที่ดี แต่ส่วนใหญ่มักขาดทักษะในการบริหารจัดการและการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติจริง
• นักธุรกิจ/นายธนาคาร : คุ้นชินกับโครงสร้างการสั่งการจากบนลงล่างซึ่งใช้ไม่ได้ผลกับการบริหารราชการ และอาจไม่เข้าใจความซับซ้อนของเศรษฐกิจมหภาค
• กลุ่มอำมาตย์ : ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน

หากมีการใช้มาตรา 5 เพื่อนำคนนอกบัญชีมาเป็นนายกฯ ควรเป็น "พลเรือน" ที่มีคุณภาพ เป็นคนดี คนเก่ง คนกล้า และนานาชาติยอมรับได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่อาจเลือกคนผิด ซึ่งจะนำไปสู่ความผิดหวังครั้งใหญ่ยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน ความยากลำบากในการหาตัวบุคคลที่เหมาะสมนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่าการตัดสินใจที่กำลังจะเกิดขึ้นมีความสำคัญต่ออนาคตของชาติมากเพียงใด

สำหรับช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจเพื่ออนาคต ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ สรุปว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งครั้งประวัติศาสตร์ และการตัดสินใจเลือกผู้นำในครั้งต่อไปไม่ใช่แค่การเลือกตั้งตามวาระปกติ แต่เป็นการตัดสินใจที่จะกำหนดชะตากรรมของประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า การจัดตั้งรัฐบาลในสภาวะผันผวนนี้จึงต้องอาศัยหลักการบริหารที่เน้น เหตุผล (Rationality) เป็นตัวนำ และอารมณ์ (Emotionality) เป็นตัวตาม การตัดสินใจที่สำคัญสูงสุดจึงตกอยู่กับ "ผู้ถือดุลอำนาจ" ที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อสร้างเสถียรภาพและป้องกันไม่ให้ประเทศไทยต้อง "ตกเวทีโลก" ผมได้เตือนอย่างชัดเจนว่า นี่คือ "โอกาสสุดท้ายของประเทศไทย" และเรา "ไม่มีเวลาลองเล่นแล้ว" การตัดสินใจที่ผิดพลาดในเวลานี้อาจส่งผลให้ประเทศชาติถลำลึกสู่ภาวะถดถอยที่ยากจะหวนคืน ประวัติศาสตร์โลกได้ให้บทเรียนราคาแพงผ่านกรณีของประเทศที่เคยรุ่งเรืองอย่าง อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา หรือแม้แต่ ฟิลิปปินส์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชีย แต่กลับต้องตกต่ำลงเพราะความล้มเหลวทางการเมือง ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนที่สำคัญเช่นเดียวกัน เรามีทางเลือกระหว่างการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติอย่างจริงจัง หรือปล่อยให้โอกาสสุดท้ายนี้หลุดลอยไปและเสี่ยงที่จะ "ตกเวทีโลก" อย่างถาวร


กำลังโหลดความคิดเห็น