เมืองไทย 360 องศา
รับรู้กันไปแล้วว่า พรรคเพื่อไทย ได้เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไปเรียบร้อยแล้ว โดยอันดับ 1 คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีต รองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับ 2 คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อํานวยการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และอันดับ 3 คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
นายจุลพันธุ์ กล่าวภายหลังการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวแซวก่อนว่า “ นั่งแบบนี้ชัดหรือไม่ ยังไม่ชัดหรือ” และกล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยได้มีการรับฟังเสียงสมาชิก ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบัน ดูจากความต้องการของประชาชน วันนี้เราต้องการคนที่จะมาเป็นนายกนำพาประเทศไทยพ้นจากความขัดแย้ง และก้าวไปสู่เศรษฐกิจที่จะนำเทคโนโลยี AI ความรู้สมัยใหม่เข้ามาบวกประสาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้
“บุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในนามพรรคเพื่อไทยคือ นายยศชนัน แต่เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับสังคม นายยศชนันคือคนที่เราจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเราประสบชัยชนะจากการเลือกตั้ง ส่วนอีก 2 คน ไม่ได้มีการเรียงลำดับ แต่มีความพร้อมในการทำงานกรณีที่มีความจำเป็น ดังนั้น ทั้ง 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้มีความพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน และมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำงานให้กับประเทศไทย”
ผู้สื่อข่าวถาม นายยศชนัน ในฐานะที่เคยผ่านเวทีการเมืองมาแล้ว แต่ยังถือว่าเป็นหน้าใหม่ การเปิดตัวเป็น 1 ในแคนดิเดตนายกฯในวันนี้ มั่นใจในตัวเองและนโยบายหรือไม่ว่าจะสามารถเรียกกระแสนิยมในการเปิดตัวครั้งนี้ นายยศชนัน กล่าวว่า ต้องตั้งต้นที่เรามีหัวใจพรรคเพื่อไทย ต้องไปคุยกับประชาชนเยอะๆ วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะชูว่าไปได้ว่าประเทศไทยจะไปในทิศทางใด แต่การพบปะประชาชนสำคัญกว่าการเลือกตั้ง เพราะประชาชนวันนี้อาจจะยังไม่รู้จักตนดี แต่หากได้สัมผัสและพูดคุยกัน และเราเอาสิ่งที่เขาต้องการใส่ไปในนโยบาย เชื่อว่าจะชนะใจประชาชน
ถามว่า มองกรณีที่สังคมตั้งคำถามว่าอย่างไรก็ไม่พ้นตระกูลชินวัตร แม้จะเป็นตระกูลวงศ์สวัสดิ์แต่ก็เป็นเครือญาตกับชินวัตรอยู่ดี นายยศชนัน กล่าวว่า เรื่องที่เป็นลูกหลานใคร ตนคิดว่าเป็นเรื่องได้เปรียบ ซึ่งการที่วันนี้เรามุ่งมั่นที่จะทำบางอย่างให้กับคนไทยและทำเรื่องนี้มาโดยตลอด ตนไม่เคยหยุดที่จะทำเรื่องนี้ แต่วันนี้หากเราได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น ทำไมเราจะไม่รับ และการที่เรามีหลายคน เราอาจจะเป็นคนตัวเล็กๆ บนมือของยักษ์ใจดีคนหนึ่ง ที่ผสมระหว่างคนรุ่นเก่ากับใหม่ อย่างพรรคไทยรักไทยผู้มีประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงครอบครัวของตนด้วย เราสามารถมองเห็นได้ไกลขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่าเป็นจุดเด่น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
นั่นคือคำพูดคำอธิบายจากเจ้าตัวถึงสาเหตุและเป้าหมายสำหรับการเข้ามาลงสนามการเมือง โดยมีความมุ่งมั่นและใช้ความรู้ความสามารถมาใช้ประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ส่วนการมาจากครอบครัวหรือลูกหลานของใครนั้นถือว่ามีความได้เปรียบ และถือเป็นจุดเด่น ไม่ได้มีปัญหาอะไร
อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันในทางการเมืองแล้ว ย่อมมองออกได้ไม่ยากและยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยก็ยังต้องมีครอบครัว “ชินวัตร” ผลักดันอยู่ข้างหลัง และเป็น “เจ้าของ” และต้องเป็นแบบนี้ต่อไป ตราบใด ที่ นายทักษิณ ชินวัตร ยัวมีชีวิตอยู่ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเวลานี้ถือว่า ทั้งตัวเขาและครอบครัวนี้ถือว่าอยู่ภาวะตกต่ำทางการเมืองแบบ “ต่ำมาก”แล้วก็ตาม
แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกันว่า พรรคเพื่อไทย ขาดนายทักษิณ และขาดคนในครอบครัวชินวัตรไม่ได้ และแม้ว่า นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อาจจะไม่ใช่สายตรง “ชินวัตร” ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือว่าการเป็นลูกชายของ นางเยาวภา วงษ์สวัสดิ์ น้องสาวของ นายทักษิณ ก็ต้องถือว่าใช่นั่นแหละ และเมื่อมาถึง นายยศชนัน ก็เหมือนกับว่า “หมดทางเลือก” เหมือนกัน เพราะคนอื่นที่เป็นสายตรงหมดแล้วหรือเปล่า
ในทางการเมืองอย่างที่บอกไปแล้ว นาทีนี้ถือว่าพรรคเพื่อไทยและ เครดิตของ นายทักษิณ ดิ่งลงมาถึงจุดต่ำสุด นับตั้งแต่การผลักดันลูกสาวตัวเอง คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทำผลงานอย่างน่าผิดหวัง และยังผสมโรงด้วย “คลิปอังเคิล” ทำให้ยิ่งจบเห่ และหากยังมีการสู้รบกันต่อไปอีกสักระยะหนึ่งก็จะยิ่งทำให้เกิดความคิดตอกย้ำในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง “ฮุน-ชิน” อยู่ในใจคนไทยขึ้นมาอีก
ดังนั้นไม่ว่าจะเรื่องผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ผลประโยชน์ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ภาวะผู้นำและความรู้ความสามารถของ น.ส.แพทองธาร ที่ถูกนำมาขยี้ ทำให้กลายเป็นว่า การหาเสียงเลือกตั้งคราวนี้พรรคเพื่อไทยหาเสียงยากที่สุด เพราะพูดไปจะเกิดความเชื่อถือน้อยมาก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าทั้ง นายทักษิณ และครอบครัวชินวัตร จะเสียเครดิตมากแค่ไหนก็ตาม แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว ถือว่า “ขาดทักษิณและชินวัตร” ไม่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ยังมี “แฟนพันธุ์แท้” ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหลงไหลได้ปลื้มไม่เปลี่ยนแปลง และยังมีสัดส่วนที่สูงมาก แม้ว่าจะลดลงไปมากแล้วเช่นเดียวกัน เพราะหากพิสูจน์จากผลสำรวจหลายรอบ พรรคเพื่อไทยก็ยังอยู่ในระดับสองและสาม ตามลำดับ หรืออาจร่วงลงมาที่อันดับสี่บางครั้งแต่ก็ยังมีจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่สูสีกันอยู่ ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าผลการเลือกตั้งคราวนี้พรรคเพื่ไทยน่าจะยังคงมี ส.ส.ระดับจำนวนหลักร้อยหรือเกือบร้อยอยู่ดี
ด้วยจำนวนที่คาดการณ์กันว่า “เกือบร้อยคน” หรืออาจถึงร้อยแบบนี้มันก็กลายเป็นว่าการตั้งรัฐบาลคราวหน้าพรรคเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร ยังเป็น “ตัวแปร” สำคัญ และยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ และสำคัญไม่แพ้พรรค “แกนนำ” อีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคประชาชน ที่คาดว่าเป็น “ขั้วหลัก” ก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังขาดพรรคเพื่อไทยได้ยาก
ดังนั้นหากพิจารณาตามรูปการณ์แล้วการที่พรรคเพื่อไทยยังต้องคงไว้ซึ่งตัวแทนจากครอบครัว “ชินวัตร” เอาไว้ต่อไป ส่วนสำคัญก็คือต้องการ “คงสภาพ” เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทั้งการ “รั้ง” ไม่ให้เลือดไหลไม่หยุด และสองต้องการประคองตัวรักษาพรรค “ตัวแปร” เพื่อกำหนดเกมเอาไว้ให้ได้ !!



