ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ระบอบฮุน เซน” ต้นตอปัญหา จากศูนย์กลางสแกมเมอร์โลก…สู่ไฟชายแดน
สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ได้เกิดจาก "อุบัติเหตุ" และไม่ใช่เรื่อง“เข้าใจผิด" ทางทหารอย่างที่ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวอ้าง
เพราะเมื่อมองให้ลึก จะเห็นว่ามี “ระบอบฮุน เซน” อยู่หลังม่านควันระเบิด
ฝั่งไทยออกมาย้ำจุดยืนแบบไม่อ้อมค้อม โดย "พล.ร.ต.สุรสันต์ คงศิริ" โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลง 7 ข้อว่า ไทย ไม่ใช่ผู้เริ่มต้นความขัดแย้ง แต่จำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเอง หลังถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักก่อน
ทุกปฏิบัติการอยู่ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ ยึดหลักได้สัดส่วน เลี่ยงการกระทบพลเรือน และมุ่งเป้าเฉพาะฐานทหาร ที่คุกคามอธิปไตย
โฆษกกลาโหมยังระบุอีกว่า เขมรงัดเกมสกปรกมาใช้ตามสูตร แค่ภาพเจ้าหน้าที่ฉีดพ่นยากันยุง ก็ถูกนำไปบิดเบือนว่าเป็น “อาวุธเคมี” ปั่นเฟกนิวส์ เพื่อสร้างความตื่นตระหนกในสายตาประชาคมโลก
นี่เป็นสูตรเก่าที่ "ฮุน เซน" ถนัดใช้เสมอ
“พล.ร.ต.สุรสันต์” ยืนยันว่า ความขัดแย้งนี้ ไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่เกิดจาก “ระบอบของฮุน เซน” และรัฐบาลกัมพูชา
นอกจากนี้ กองทัพภาคที่ 2 ได้ออกคำสั่งควบคุมการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง และยุทธภัณฑ์ ณ จุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี เพื่อสกัดการนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ในการสู้รบของกัมพูชา
ชัดเจนว่า วันนี้แทบไม่ต้องอธิบายกันยาว ทั่วโลกรับรู้ตรงกันแล้วว่า กัมพูชาคือหนึ่งในศูนย์กลางสแกมเมอร์ และอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของโลก!!
คอลเซ็นเตอร์ หลอกลงทุน เว็บพนันออนไลน์ ฟอกเงินข้ามชาติ
เครือข่ายเหล่านี้ ฝังรากอยู่ในโครงสร้างอำนาจ และเป็นแหล่งรายได้ของชนชั้นนำใน “ระบอบฮุน เซน” มาอย่างยาวนาน
ทว่าเกมเริ่มเปลี่ยน เมื่อประเทศมหาอำนาจ และองค์กรระหว่างประเทศ เริ่ม “บีบจริง” ตัดเส้นทางการเงิน ปิดช่องโหว่ดิจิทัล ไล่ล้างเครือข่ายสแกมเมอร์อย่างเป็นระบบ ธุรกิจใต้ดินที่เคยหล่อเลี้ยงอำนาจ เริ่มหายใจไม่ออก
และตรงนี้เอง…คือจุดที่หลายฝ่ายเชื่อมโยงภาพได้ชัดว่า ไฟชายแดนที่ลุกขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อรายได้เถื่อนถูกทำลาย เมื่อภาพลักษณ์ “ศูนย์กลางอาชญากรรมโลก” ถูกเปิดโปงต่อสายตานานาชาติ
ทางเลือกของระบอบเผด็จการ"ฮุน เซน" มีไม่มาก
หนึ่งในสูตรเก่าที่ใช้ได้ผลเสมอ คือ สร้างศัตรูภายนอก ปลุกกระแสชาตินิยม ดึงความสนใจประชาชน ออกจากปัญหา ภายใน
เหตุการณ์ที่ชายแดน จึงไม่ใช่แค่การทดสอบกำลังทางทหาร แต่คือการเบี่ยงเกมทางการเมืองอย่างเป็นระบบของ “ฮุน เซน”
มาตรการของไทยจึงไม่ได้หยุดแค่การตอบโต้ แต่เพื่อทวงคืนแผ่นดินไทย ที่ถูกเขมรครอบครองไว้ และเพื่อปกป้องอธิปไตย
ข้อมูลจากกองทัพบกยิ่งตอกย้ำภาพนี้
“พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์” ระบุว่า กัมพูชาโจมตีพื้นที่พลเรือนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
จนต้องประกาศห้ามประชาชนเข้าพื้นที่
ขณะที่ความสูญเสียฝั่งกัมพูชา ตัวเลขไม่โกหกใคร ทหารเขมรเสียชีวิตกว่า 500 นาย ยุทโธปกรณ์ถูกทำลายกว่า 80 เป้าหมาย ตั้งแต่ BM-21 รถถัง ยานเกราะ ปตอ. ไปจนถึงโดรนจำนวนมาก
เมื่อเอาทุกชิ้นมาวางเรียงกัน ภาพมันชัดจนปฏิเสธไม่ได้
นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งของประชาชนไทย–กัมพูชา แต่คือ วิกฤตที่ถูกขับเคลื่อนโดย “ระบอบฮุน เซน” ระบอบที่ได้ประโยชน์จากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโลก
ย้ำว่า ศึกครั้งนี้ ไม่ใช่ศึกของประชาชน แต่คือ ศึกดิ้นรนของ “ระบอบฮุน เซน”
++ “เฮ้ง-ขิง-ท็อป” นำทีมเข้าบ้านสีน้ำเงิน...“เสี่ยต่อ”ผนึกกำลัง “ผู้กองธรรมนัส”
เมื่อยุบสภา มีกำหนดเลือกตั้งใหม่ บรรดาสส.ที่เคยมีข่าวว่าจะย้ายพรรค ก็เริ่มเปลี่ยนสีเสื้อ เปลี่ยนปลอกคอ แสดงตัวชัดเจนกันแล้ว
ที่คึกคักที่สุดในตอนนี้คงไม่มีใดเกิน พรรคภูมิใจไทย ที่มีความได้เปรียบทั้ง “กระแส กระสุน” และยึดกุมงบประมาณ และอำนาจรัฐอยู่ในมือ เป็นเหมือนแม่เหล็ก ดึงดูดนักเลือกตั้ง
เพื่อให้ทันกรอบระยะเวลา 30 วัน หลังยุบสภาฯ ที่ผู้สมัครต้องสังกัดพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้ง เมื่อวานนี้ (15 ธ.ค.) พรรคภูมิใจไทย จึงเปิดรับสมัครสมาชิกพรรค ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.เป็นวันแรก
กลุ่มแรกที่มาสมัครคือ “กลุ่ม16 สส.” กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นอดีต สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่อยู่ในมุ้ง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับหน้าเสื่อ
สมาชิกของกลุ่ม ที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ไปก่อนหน้านี้แล้ว นอกจาก “เสี่ยเฮ้ง” ยังมี “เสี่ยแด๊ก” ธนกร วังบุญคงชนะ รมว.อุตสาหกรรม
ส่วนที่เหลือก็มี “เกรียงยศ สุดลาภา” อดีต สส.บัญชีรายชื่อ, “ชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์” อดีตสส.บัญชีรายชื่อ, “ศาสตรา ศรีปาน” สงขลา เขต 2 ,”วัชระ ยาวอหะซัน” นราธิวาส เขต 1, “ปรเมษฐ์ จินา” สุราษฎร์ธานี เขต 5 , “จิรวุฒิ สิงห์โตทอง” ชลบุรี เขต 4 , “พิพิธ รัตนรักษ์” สุราษฎร์ธานี เขต 2, “พันธ์ศักดิ์ บุญแทน” สุราษฎร์ธานี เขต 4, “ธิวัลรัตน์ อังกินันท์” เพชรบุรี เขต 1 ,”จ.อ.อภิชาติ แก้วโกศล”เพชรบุรี เขต 3 , “กุลวลี นพอมรบดี” ราชบุรี เขต 1 “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” นครศรีธรรมราช เขต 10 และ “สันต์ แซ่ตั้” ชุมพร เขต 2
อีกกลุ่ม ที่มาก็คือ อดีต สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ในมุ้งของ “เสี่ยขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ นำ “ทีมสุดซอย” มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งตามรายงานข่าวบอกว่า “เสี่ยขิง” จะได้รับการโปรโมตให้รับผิดชอบพื้นที่เขตเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ร่วมกับ “ศุภมาส อิสรภักดี” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เพื่อปักธงในเมืองหลวงให้ได้
ที่เป็นไฮไลต์ประจำวัน คือการมาของ “เสี่ยท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นำอดีต สส.ทั้งหมดของพรรค จาก 3 จังหวัด คือ สุพรรณบุรี นครปฐม และร้อยเอ็ด ประกอบด้วย “สรชัด สุจิตต์ -ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ-นพดล มาตรศรี-เสมอกัน เที่ยงธรรม-ประภัตร โพธสุธน” จากสุพรรณบุรี ... “ศุภโชค ศรีสุขจร-พาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์-อนุชา สะสมทรัพย์” จากนครปฐม และ “อนุรักษ์ จุรีมาศ” จากร้อยเอ็ด
นอกจากนี้ ยังมีแกนนำคนสำคัญของพรรค อย่าง “นิกร จำนง และ“กนก วงษ์ตระหง่าน” มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยด้วย
“วราวุธ” บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่ยกกันมาทั้งพรรค เพราะถ้ายังเป็นพรรคเล็ก เวลาร่วมรัฐบาล ก็ได้ดูแลแค่กระทรวงเดียว ถ้ามาผนึกกำลัง เข้าร่วมกับพรรคใหญ่ ก็จะทำงาน รับใช้ประชาชนได้กว้างขึ้น มากขึ้น
การทุ่มเทแบบหมดหน้าตักครั้งนี้ ก็ต้องรอลุ้นว่าในวันสมัครรับเลือกตั้ง จะมีชื่อ “วราวุธ ศิลปอาชา” จะอยู่ในปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับที่เท่าไร และได้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคภูมิใจไทย หรือไม่
สำหรับพรรคกล้าธรรม ของ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯและรมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค ก็เตรียมต้อนรับ “กลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย” นำโดย “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะพาลูกทีมมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ ประกอบไปด้วย
“ประมวล พงศ์ถาวราเดช” จาก ประจวบคีรีขันธ์ “จักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์” จากประจวบคีรีขันธ์ “ชาตรี หล้าพรหม” จากสกลนคร “วุฒิพงษ์ นามบุตร” จาก อุบลราชธานี “สุพัชรี ธรรมเพชร” จากพัทลุง “ว่าที่ร้อยโทยุทธการ รัตนมาศ” จากนครศรีธรรมราช “พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่” จากสงขลา “ยูนัยดี วาบา” จากปัตตานี “ฐิตินัย ตั้งบูรพากิจ” จากประจวบคีรีขันธ์ ส่วนตัว “เฉลิมชัย”ขอเว้นวรรค ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ส่วน “เดชอิศม์ ขาวทอง” อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีต สส.สงขลา จะไม่ลงสมัครเลือกตั้ง โดยจะส่ง “วงศ์วชิระ ขาวทอง” ลูกชาย ลงสมัครแทน ขณะที่ “สุภาพร กำเนิดผล” อดีต สส.สงขลา ภรรยาของเดชอิศม์ ก็จะไม่ลงสมัครเช่นกัน ส่วน “ศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง” อดีต สส.สงขลา เขต 9 ลูกชายอีกคนของเดชอิศม์ ยังคงสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ต่อไป
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหว ย้ายสังกัด เตรียมลงสู้ศึกเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 ก.พ.69


