สว.เตือนระวังเรือล่ม หลังตัดเกณฑ์ 1 ใน 3 สว.เห็นชอบแก้รธน. ชี้เป็นเบรกนิรภัย กันเผด็จการรัฐสภาแก้รธน.เพื่อตัวเอง “วิโรจน์” สวนดึงเบรคจนชาติเดินไม่ได้ ชี้อำนาจที่ไม่ยึดโยงปชช.อย่าอ้างถ่วงดุลแล้วตีกรอบทั้งประเทศ ต้องลดสัดส่วนไม่ตั้งกำแพงยับยั้งเจตจำนง 52 ล.เสียง อัดไม่อยากเป็นนักการเมืองก็ลาออกไป
วันนี้ (11ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ ได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.. โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีการลงมติเห็นชอบตามการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมากตามลำดับต่อนเื่อง จนมาถึงมาตราสำคัญ คือ 256/28 ว่าด้วยเกณฑ์การออกเสียงลงคะแนนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่กรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการแล้วเสร็จ โดยกำหนดให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยมีกมธ.เสียงข้างน้อย สงวนความเห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มสว.ต่างไม่เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว
อาทินายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย ให้เพิ่มเกณฑ์เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ต้องได้เสียงสว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสว.ที่มีอยู่ของวุฒิสภา เพื่อให้สว. เป็นเบรกนิรภัยให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพราะที่ผ่านมาเคยมีบทเรียนในอดีตที่พรรคการเมืองเดียวชนะแบบแลนด์สไสลด์ หรือมีพรรคที่รวมเสียงข้างมากได้กว่า 350 เสียง หากชนะเกินกึ่งหนึ่ง จะทำให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องทำได้ง่าย ดังนั้นการตัดเสียง สว. 1 ใน 3 เท่ากับปูทางสู่เผด็จการรัฐสภา
“เงื่อนไขเสียงสว. ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นหลักประกันคุณภาพว่าการแก้กติกาประเทศ ผ่านหลักวิชาการไม่ใช่เพราะมติพรรคสั่ง และต้องเป็นไปตามทฤษฎีที่รัฐธรรมนูญแก้ไขยากกว่ากฎหมายทั่วไปเพื่อเสถียพภาพของระบอบปกครอง นอกจากนั้นยังเป็นไป หัวใจสำคัญของการแบ่งแยกอำนาจที่แตะต้องไม่ได้ การคงไวว้ไม่ใช่ขัดขวางแก้รัฐธรรมนูญ หรือระบอบประชาธิปไตยแต่เป็นการคุ้มครองเสียงข้างน้อยและปกป้องไม่ให้รัฐสภาใช้อำนาจเสียงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” นายพิสิษฐ์ อภิปราย
น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์ สว. ฐานะกมธ. อภิปรายสนับสนุนการวางหลักการมีเสียงสว. เห็นชอบต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยเสียง 1 ใน 3 เพราะรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องแก้ไขยาก และหากแก้ไขต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกัน ตนเชื่อว่า สว.ที่เป็นได้ครั้งเดียวในชีวิต จะใช้ความรู้ความสามารถ พิจารณาการแก้ไขอย่างรอบคอบ ซึ่งสว.จะทำหน้าที่ตามบทบาทป้องกันเสียงข้างมากที่กำหนดความเป็นไปของประเทศได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาพบว่า มีการอภิปรายของสว. ที่ลุกสนับสนุนการสงวนความเห็นของกมธ.เสียงข้างน้อย อาทิ นายวิวัฒน์ รุ่งแก้ว สว.ที่สนับสนุนการบัญญัติเกณฑ์เห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต้องได้เสียงสว.ร่วมเห็นชอบด้วย
ขณะที่นายชินโชติ แสงสังข์ สว. ที่อภิปรายสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ต้องบัญญัติเงื่อนไขที่เป็นมาตรการการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนไม่สบายใจต่อการแก้ไขมาตราที่ตัดเกณฑ์เห็นชอบของสว.ออกไป ทั้งที่เป็นประเด็นสำคัญ พวกตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ถึงแม้หลายคนจะใส่ร้ายให้พวกตนเป็นสีอะไรก็แล้ว แต่เป็นสิทธิ์ของตนที่จะคิดจะชอบ ศรัทธาแต่โดยระบบแล้วส.ว.ไม่มีพรรคการเมือง ยืนยันว่าส.ว. ยังควรเป็นองค์กรที่เป็นสถาบันท้ายสุดในการคานอำนาจถ่วงดุลหรือธำรงไว้ซึ่งการตรวจสอบ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 60 เจตนาต้องการให้มีการระบบการตรวจสอบคานอำนาจถ่วงดุล แต่วันนี้พวกท่านจะกินรวบเสียเอง กึ่งหนึ่งของรัฐสภาทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีใครมาตรวจสอบสมดุลย์เลย ตนอาจจะไว้ใจสส.ชุดนี้ แต่ชุดต่อไปเมื่อเกิดเผด็จการทางรัฐสภาทำอะไรก็ได้หรือ หากไม่มีสว.เป็นตัวฉุดรั้ง คัดกรองสุดท้ายสกัดเรื่องราวที่มันไม่ชอบธรรม เมื่อถึงวันนั้นเราจะเคว้งคว้างไม่มีองค์กรอะไรมาเป็นองค์กรสุดท้าย
“ขอยืนยันว่า1ใน 3 ของส.ว.ยังต้องมีอยู่ บ้านผมมาจากอยุธยา มีน้ำท่วมตลอดตามฤดูกาล ซึ่งต้องอาศัยเรือ ซึ่งเรือลำนั้นนั่ง 4 คน ผมถูกเพื่อนรังแก ทำร้าย ไม่มีทางสู้ เก็บความเจ็บใจไว้ตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสา อีก 15 วันต่อมา ผมจำเป็นต้องคว่ำเรือให้เปียกด้วยกัน ขอฝากไปยังกมธ.เสียงข้างมาก ระวังเรือจะล่ม“นายชินโชติกล่าว
ต่อมานายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกรัฐสภา อภิปรายว่าดูเหมือน สว. หลายคนจะเข้าใจผิดว่าการแก้ไขครั้งนี้เป็นการตัดการถ่วงดุลออกไปทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่ การตัดเสียงหนึ่งในสามของสว.แล้วคงให้ทั้งสว. และสส.มีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่ากันในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการจัดให้มีการถ่วงดุลอย่างได้สัดส่วน ทำให้มีศักดิ์และสิทธิ์เท่ากัน ตนยืนยันว่าเคารพต่อสว.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่มาจากการคัดเลือกจาก 48,000 คนเหลือเพียง 200 คน ขณะที่สส.มาจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 52 ล้านคน อำนาจใดที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างแนบแน่นและได้รับโดยตรงจากประชาชนย่อมต้องมีอำนาจตามสมควร ขณะที่อำนาจใดที่ยึดโยงกับประชาชนน้อยและ มาจากทางอ้อม อำนาจนั้นก็ต้องลดหลั่นตามสัดส่วนลงมา อย่างนี้ถึงเรียกว่าการตรวจสอบถ่วงดุลที่ได้สัดส่วน
“การที่สว.พิสิษฐ์บอกว่าตนเองเป็นเบรค ผมขอตั้งคำถามว่าการเดินไกลของประเทศโดยมีสส.เป็นคันเร่ง ท่านเคยนั่งรถของโชเฟอร์ที่ขับไปเหยียบเบรคไป ทำให้คนโดยสารอาเจียนหรืออ้วกแตกไม่ถึงที่หมาย จะเบรคอะไรกันนักกันหนา คนที่นั่งข้างๆ อย่างสว.บางคนดึงเบรกมือ รถก็หมุนคว่ำ ทำให้รถยนต์ที่ชื่อ “ประชาธิปไตย” รถยนต์ชื่อ “ประเทศไทย”จะไปสู่จุดหมายได้อย่างไร
นายวิโรจน์กล่าวว่าส.ว. รัชนีกร ที่อภิปรายว่ารังเกียจนักการเมือง จนลืมไปแล้วว่าสว.ตำแหน่งที่เป็นอยู่นี้ เป็นนักการการบ้านหรืออย่างไร ท่านก็เป็นนักการเมืองเหมือนกัน ถึงแม้จะบอกว่าขยันทำการบ้าน แต่วันนี้สว.เป็นนักการเมือง และถ้าท่านไม่อยากเป็นนักการเมืองมากนักก็ลาออกไป แล้วไปสมัครเป็นสมาชิกร่างรัฐธรรมนูญ แล้ว 20 หยิบ 1 ตนอยากจะถามว่าหาได้หรือไม่ ถ้าหยิบท่านมาหนึ่งก็ต้องคอยดู
”ที่บอกว่านักการเมืองจะแก้กฎหมายเพื่อปกป้องตนเอง ให้ตัวเองได้ประโยชน์ ท่านพูดให้คนอื่นทำท่านเก่งมาก แต่ผมดูในมาตรานี้ วันนี้ท่านต้องจำกัดอำนาจท่านเองท่านจะทำอย่างไร สุดท้ายตรงตามภาษิตโบราณ”นิ้วที่ชี้คนอื่น ท่านลืมว่าสี่นิ้วมันชี้ไปที่ตัวท่านเอง“ความผิดของคนอื่นท่านเห็นเช่นขุนเขาความผิดของตัวเราท่านเห็นเช่นเส้นผม ท่านไม่ตัดอำนาจท่านเลย ยืนยันว่าเราแค่ต้องการจัดอำนาจส.ว.ให้ได้สัดส่วน ซึ่งเป็นใจความสำคัญ“
นายวิโรจน์ยังขอไปค้นดูประวัติศาสตร์ของโลกว่าไม่มีประเทศประชาธิปไตยไหนที่ให้อำนาจผู้แทนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทางตรง มามีอำนาจหนึ่งในสามในการยับยั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่างเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน เคยมีการกำหนดให้อำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงมีอำนาจยับยั้งอำนาจที่มาจากประชาชน สุดท้ายประเทศเหล่านี้เดินหน้าไม่ได้ ตนเคารพต่อความชอบธรรมที่ท่านมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยคัดเลือกจากความเชี่ยวชาญนั้น แต่อำนาจนั้นจะสง่างามมากถ้าท่านเอามาทบทวนตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างได้สัดส่วน ไม่ได้เอามายับยั้งการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของประเทศ ไม่ได้ยับยั้งเจตจำนงอันแรงกล้าของประชาชนซึ่งเป็นอำนาจสูงสุด ตนไม่ได้ขอให้วุฒิสมาชิกยอมแพ้ แต่ขอให้ท่านชนะด้วยการยอมรับอำนาจที่แท้จริงคืออำนาจของประชาชน
ด้านน.ส.รัชนีกร ใช้สิทธิพาดพิงโดยกล่าวว่า ตลอด2วันที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณสมาชิกรัฐสภา บรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีใครเอยชื่อใครและต่อว่าเช่นนี้ ตนเองก็ไม่เคยเอยชื่อใครและต่อว่าเช่นเดียวกันเพียงแต่อภิปรายไปทางมาตรา ไม่ได้มาบอกว่าใครเป็นอย่างไร ตนพูดเสมอว่านักการเมืองทำอะไรไว้บ้าง
”ดิฉันไม่เคยบอกว่าไม่ใช่นักการเมือง แต่ขอบอกว่าดิฉันเพิ่งเข้ามาเป็นนักการเมืองในสมัยนี้ ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน ไม่ได้เป็นนักการเมืองตลอดปีตลอดชาติแล้วไม่ได้ทำให้ประเทศไทยดีขึ้น ดิฉันไม่ใช่นักเลือกตั้งเพราะฉะนั้นท่านช่วยสุภาพหน่อย ดิฉันสุภาพกับท่านมา2วันแล้ว ถ้าต้องการแบบนี้ก็แล้วแต่ท่าน“ น.ส.รัชนีกรกล่าว
นอกจากนี้น.ส.รัชนีกร ยังขอให้นายวิโรจน์ถอนคำพูด แต่นายวิโรจน์ตอบโต้ว่า ที่เอ่ยชื่อเพราะต้องการอ้างคำพูดของท่าน หรือท่านจำคำพูดของตนเองไม่ได้ อาจจะพูดเยอะจนจำไม่ได้ จะให้อ้างอิงอย่างไร ไม่เช่นนั้นสมาชิกท่านอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่า ตนเองอ้างอิงถึงสมาชิกท่านใด ตนเองไม่เห็นมีความจำเป็นต้องถอน
ด้านนายพิสิษฐ์ ได้ลุกประท้วงเช่นกันโดยกล่าวว่า รัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่าต้องใช้เสียงของ สว. 1 ใน 3 ท่านอยากให้เราเคารพกติกาของท่าน แต่เหตุใดท่านกลับไม่เคารพกติกาที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน เพราะทุกคนก็เข้ามาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 2560 นอกจากนี้ท่านยังกล่าวว่าเหตุใดสมาชิกรัฐสภาไม่ปกป้องคุ้มครองเสียงของประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรยากาศเป็นไปอย่างชุลมุนอยู่ช่วงหนึ่ง จนทําให้นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา รองประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมขณะนั้นกล่าวว่า ขอให้ทุกท่านหยุดแค่นี้ ไม่ต้องประท้วงอะไรกันอีกแล้ว ขอให้อภิปรายกันต่อ ขอให้นั่ง จบแค่นี้ เอาแค่นี้ พร้อมกับปิดไมค์ของน.ส.รัชนีกร ก่อนยกมือห้าม บอกอีกครั้งว่า พอแล้ว ทุกท่านหยุด และไปต่อ สงบแค่นี้พอ เดี๋ยวเรื่องไม่จบ


