“ปานเทพ” ชี้ หลักฐานประวัติศาสตร์ยืนยันบรรพบุรุษไทยต่อสู้ให้ใช้ “ขอบหน้าผา” เป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ด้านเทือกเขาพนมดงรัก เพื่อให้เป็นแนวเขตที่เห็นชัดเจน ป้องกันความขัดแย้งในอนาคต ไม่ใช่การใช้สันปันน้ำที่เกิดจากภูมิศาสตร์จริงตามหลักปัจจุบัน ย้ำ เพื่อไม่ให้ผิดเจตนารมณ์เดิมของการแบ่งเขตแดน ต้องยกเลิกแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ด้วยการยกเลิก MOU 2543 ด้วยเหตุกัมพูชาละเมิดร้ายแรง
วันที่ 4 ธันวาคม 2568 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เผยแพร่บทความทางเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” แสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อพิพาทแนวพรมแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์จากคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 ระบุชัดว่า “ขอบหน้าผาแนวเทือกเขาดงรัก” เป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติ ไม่ใช่สันปันน้ำที่เกิดจากภูมิศาสตร์จริงตามหลักปัจจุบัน
นายปานเทพ ระบุว่า แนวภูมิประเทศจากช่องบก จ.อุบลราชธานี ถึงช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ระยะทางราว 195 กิโลเมตร ไม่มีการปักหลักเขต เนื่องจากใช้ “ขอบหน้าผา” เป็นสัญลักษณ์เขตแดน ขณะที่ช่วงจากช่องสะงำจนถึงจังหวัดสระแก้ว แม้มีหลักเขตคอนกรีต แต่ก็ถูกปักไว้ใกล้แนวหน้าผาเนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่
ไม่ว่าจะเป็นแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝ่ายฝรั่งเศส หรือแผนที่สหรัฐอเมริกามาตราส่วน 1:50,000 รวมถึงเทคโนโลยีตรวจวัดระดับสูงอย่าง LiDAR หากไม่ยึดแนวหน้าผาเป็นหลัก ก็ “ขัดเจตนารมณ์ของการกำหนดเขตแดนดั้งเดิม”
นายปานเทพ อ้างถึงคำคัดค้านของฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหารต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2505 ซึ่งมีการนำบันทึกประชุมและถ้อยแถลงของประธานคณะกรรมการฝ่ายฝรั่งเศสมาแสดง เพื่อยืนยันว่าแนวเขตควรเป็นเส้นที่ “มองเห็นได้ชัดเจน ไม่สร้างการข้ามแดนโดยไม่รู้ตัว” และเป็นไปตามสามัญสำนึกและข้อเท็จจริงด้านการปกครอง
ในคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 แม้ไทยแพ้ แต่ศาลไม่ได้ตัดสินรับรองแผนที่ดังกล่าวเป็นเส้นเขตแดนตามที่กัมพูชาร้องขอ พร้อมชี้ว่า หากไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ซึ่งอ้างอิงการใช้แผนที่ 1:200,000 ก็จะทำให้ไทยมีเหตุผลกลับไปยึดหลักการ “ขอบหน้าผา” เช่นเดิม ไม่ปล่อยให้กัมพูชาปีนขึ้นมาบนหน้าผา โดยอ้างแผนที่ซึ่งขีดเส้นเขตแดนผิด หรือมาหาสันปันน้ำหลังขอบหน้าผา อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
นายปานเทพ ย้ำว่า ต้องคำนึงถึงความลึกซึ้งของบรรพบุรุษไทยและฝรั่งเศส ที่ได้คำนึงถึง “ขอบหน้าผา” โดยอาศัยหลักการที่ว่า เส้นเขตแดนจะต้องสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่สร้างปัญหาการข้ามกันไปโดยไม่รู้ตัว ไปตามหลักการของสามัญสำนึก และข้อเท็จจริงในวิธีการปกครอง และไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศในวันข้างหน้า นั่นคือ “สยามอยู่ข้างบน เขมรต่ำอยู่ข้างล่าง”
การอ้างเส้นเขตแดนที่สามารถมองเห็นได้ชัด เป็นหลักการป้องกันความขัดแย้งในอนาคต และอาจแก้ปัญหาจุดพิพาทต่างๆ เช่น พื้นที่ภูมะเขือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และพื้นที่ต่อเนื่องตามแนวเทือกเขาดงรัก
ในตอนท้าย นายปานเทพ เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณายกเลิกแผนที่ 1:200,000 ใน MOU 2543 ให้ได้เสียก่อน โดยใช้ช่องของอนุสัญญาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 มาตรา 60(1) ที่เปิดช่องให้ประเทศไทยใช้สิทธิ “ยกเลิก” เพื่อ “แก้ไข” สนธิสัญญาฝ่ายเดียวได้ เพราะกัมพูชาได้เป็นฝ่ายละเมิด MOU 2543 อย่างร้ายแรง
บทความฉบับเต็ม
อย่าเสียทีให้กัมพูชา บรรพบุรุษไทยต่อสู้ให้ใช้ “ขอบหน้าผา” เป็นเส้นเขตแดน / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ประธานคณะกรรมการฝรั่งเศสยืนยันถึง 2 ชุด คือ ชุด ค.ศ. 1904 และ ชุด ค.ศ. 1907 ต่างยืนยันว่า “ระวางดงรัก” ใช้ “ขอบหน้าผา” เป็นเส้นเขตแดน ไม่ใช่ใช้ “สันปันน้ำตามภูมิศาสตร์ที่แท้จริง“ หรือแผนที่ฉบับใด
หลักฐานที่ทำให้เกิดความชัดเจนคือ จากช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปทางทิศตะวันตกถึงหลักเขตที่ 1 ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ระยะทางมาความยาวถึงประมาณ 195 กิโลเมตร “ไม่มีหลักเขต” ใดๆ เลย
ไม่ใช่เพราะคณะกรรมการปักปันสยามฝรั่งเศส “ลืมปัก” หรือ “ปักหลักไม่แล้วเสร็จ” แต่เป็นการแบ่งเขตแดนที่ “ไม่ต้องมีหลักเขตแดน” เพราะใช้ขอบหน้าผาเป็นเขตแดนทางธรรมชาติ แทนการหาสันปันน้ำตามภูมิศาสตร์ที่แท้จริงที่อาจอยู่หลังขอบหน้าผาหรือหลังสันเขา
แต่เทือกเขาระวางดงรักที่ใช้ขอบหน้าผาไม่ได้จบลงที่หลักเขตที่ 1 ณ ช่องสะงำ ของจังหวัดศรีสะเกษเท่านั้น แต่ความจริงเทือกเขา “ดงรัก” ยังยาวไปถึงหลักเขตที่ 28 ถึงจังหวัดสระแก้วอีกด้วย มีความยาวประมาณ 170 กิโลเมตร ซึ่งแม้จะมีหลักเขตคอนกรีต แต่หลักเขตแดนเหล่านี้ ได้ทำการปักเอาไว้ ”ใกล้ๆกับขอบหน้าผา“ ด้วยเพราะมีข้อจำกัดที่ขอบหน้าผาไม่เอื้ออำนวยให้ทำหลักเขตแดนบริเวณนั้นได้
ซึ่งหากยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสก็ดี หรือแม้แต่แผนที่ L7017 มาตราส่วน 1:50,000 ที่สหรัฐอเมริการทำให้ก็ดี ความสำคัญไม่ใช่เรื่องความละเอียดของแผนที่ แต่เกี่ยวกับว่าแผนที่เหล่านี้ได้มีการ ”ขีดเส้นเขตแดนผิด“ หรือไม่?
ไม่ว่าจะขีดเส้นเขตแดนผิดเพราะไม่สนใจหลักสันปันน้ำ และไม่สนใจขอบหน้าผา ดังปรากฏในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว
ไม่ว่าจะขีดเส้นเขตแดนผิดเพราะจะยีดสันปันน้ำตามภูมิศาสตร์ที่แท้จริงตามแผนที่L7017 มาตราส่วน 1:50,000 ที่สหรัฐอเมริกาทำให้ประเทศไทยก็ดี
หรือแม้แต่จะใช้เทคโนโลยี LiDAR (Light Detection and Ranging)เพื่อหาสันปันน้ำตามภูมิศาสตร์ที่แท้จริงโดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:25,000 หรือละเอียดกว่านั้นก็ตาม
ตราบใดที่ไม่ได้ยึดขอบหน้าผาย่อมขัดต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษของสยามและฝรั่งเศสทั้งสิ้น
เพราะจากเอกสารคำติงของฝ่ายไทยที่ได้ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 ชัดเจนว่าฝ่ายไทยได้ยื่นหลักฐานสำคัญทั้งบันทึกการประชุมและการปาฐกถาของประธานฝ่ายฝรั่งเศสจำนวนมากเพื่อแสดงให้เห็นว่าประธานฝ่ายฝรั่งเศสได้ยึดขอบหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน
โดยคำติงของฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2505 ลำดับที่ 45-52 ได้แสดงหลักฐานว่าฝรั่งเศสได้ยึด “ขอบหน้าผา” เป็นเส้นเขตแดนธรรมชาติที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนจากเอกสารหลายชิ้นเพื่อพิสูจน์ว่า
1.เส้นเขตแดนจะต้องสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
2.ไม่สร้างปัญหาการข้ามกันไปมาโดยไม่รู้ตัว
3.พิจารณาถึงลักษณะประชากร และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการให้สัมปทาน
4.เป็นไปตามหลักสามัญสำนึก
5.เป็นไปตามข้อเท็จจริงในวิธีการปกครอง
6.ต้องไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศในวันข้างหน้าอันเนื่องมาจากการหาสันปันน้ำที่แท้จริงซึ่งอาจอยู่หลังขอบหน้าผา
ดังตัวอย่างเอกสารคำติงของฝ่ายไทยลำดับที่ 45 แปลเป็นไทยความว่า
”(ช) ถ้ากรรมการผสมได้ตกลงกันว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน ข้อตกลงนั้นจะต้องเป็นการกำหนดเส้นเขตแดนไว้ที่หน้าผา
45.รัฐบาลไทยเห็นว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้น เป็นไปตามที่ระบุไว้ใน วรรค 34 ของคำคัดค้าน (Counter-Memorial) หน้า 180 ซึ่งกล่าวว่า “จากการสำรวจทั่วไป คณะกรรมาธิการได้ข้อสรุปว่าสันปันน้ำ (watershed) ตรงกับแนวขอบหน้าผา ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดไว้”
เมื่อมีการเสนอถ้อยแถลงนี้ไว้ในเอกสารคำคัดค้าน ก็มีพื้นฐานมาจากแนวทางทั่วไปของคณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายในเรื่องลักษณะเช่นนี้ ที่มักจะ ให้ความสำคัญกับ “เส้นเขตแดนที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครข้ามโดยไม่รู้ตัว” (อ้างจากบันทึกการประชุมวันที่ 18 มีนาคม 1905 หน้า 265–266 และบันทึกอื่น ๆ วันที่ 31 มกราคม 1905 หน้า 244, วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1905 หน้า 251 และ 255, วันที่ 29 พฤศจิกายน 1905 หน้า 286–287 และวันที่ 17 มกราคม 1906 หน้า 295)
จึงสามารถสันนิษฐานได้อย่างมีเหตุผลว่า ถ้าประธานของคณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายได้พิจารณาแล้วว่า การตีความคำว่า “สันปันน้ำ” ในเชิงภูมิศาสตร์อย่างเคร่งครัด จะทำให้แนวพรมแดนต้องลากผ่านโดยเหลือที่ดินแถบแคบ ๆ บนยอดหน้าผาให้กับอินโดจีน ซึ่งความกว้างอาจมีเพียงไม่กี่เมตรไปจนถึงสองกิโลเมตร และหากอินโดจีนครอบครองพื้นที่นั้นจริงก็คงก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นประธานของทั้งสองคณะกรรมาธิการคงได้ตัดสินว่า “ในทางปฏิบัติ เส้นสันปันน้ำควรถือว่าอยู่ตรงกับขอบหน้าผา” เพราะในแง่ของสามัญสำนึกการลากเส้นเขตแดนตามแนวที่จะเหลือพื้นที่แคบ ๆ เช่นนั้นให้แก่อินโดจีน ย่อมถือเป็นสิ่ง ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและควรหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง หากสามารถทำได้ในทางปฏิบัติ“
และตัวอย่างที่ 2 ปรากฏในเอกสารคำติงของฝ่ายไทยลำดับที่ 51 ความว่า
”51. ประเทศไทยยังยืนยันเพิ่มเติมว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนซึ่งแสดงถึงข้อเท็จจริงในทำนองเดียวกันปรากฏอยู่ในรายงานภารกิจของพันเอกมองกิเอร์ (Commandant Montguers) ประธานคณะกรรมาธิการฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 (ภาคผนวกเลขที่ 59 ของคำชี้แจงเพิ่มเติมฉบับนี้) ในบทที่ 3 ของรายงานฉบับยาวนี้ มีเพียงไม่กี่บรรทัดเท่านั้นที่กล่าวถึงการลากเส้นเขตแดนในส่วนของแนวพรมแดนดงรัก โดยมีข้อความดังนี้:
“จากจุดที่กล่าวถึงข้างต้น ซึ่งตั้งอยู่บนสันเขาดงรัก เส้นพรมแดนได้ตามแนวสันปันน้ำระหว่างลุ่มน้ำของทะเลสาบใหญ่และแม่น้ำโขงในด้านหนึ่ง กับลุ่มน้ำของน้ำมูลในอีกด้านหนึ่ง และไปสิ้นสุดที่แม่น้ำโขงใต้ปากมูล ณ ปากห้วยเดื่อ ตามแนวเส้นที่คณะกรรมาธิการกำหนดเขตก่อนหน้านี้ได้กำหนดไว้เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1907 สำหรับเขตปักปันที่ 5 สามารถกำหนดเส้นพรมแดนได้ในการประชุมที่อันลองเวงโดยไม่มีความยากลำบากใด ๆ เส้นพรมแดนดังกล่าวตามแนวสันปันน้ำซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือแนวสันเขาที่มองเห็นได้จากตีนเขาดงรัก…
ข้อความเหล่านี้ ประเทศไทยขอเรียนว่า มีความชัดเจนในตัวเองและไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติม โดยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพันเอกมองเกอส์เข้าใจว่าลักษณะภูมิประเทศในบริเวณนี้เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ เส้นสันน้ำพาดผ่านตามแนวหน้าผา“
ข้อความดังกล่าวข้างต้นย่อมแสดงให้เห็นว่ากรณีดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่าประธานคณะกรรมการสยามฝรั่งเศถึง 2 ชุด เห็นพ้องต้องกันที่จะใช้สันเขาซึ่งมองจาก “ตีนภูเขาดงรัก” มองจาก “ข้างล่างตีนเขา” ขึ้นไปเห็นสันเขาเป็นเส้นเขตแดนแทนการหาสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์จริง
ซึ่งในความเป็นจริงการมองจากด้านตีนภูเขาแล้วเห็น”ส้นเขา“ที่มองเห็นจากด้านล่างตีนเขานั้น จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าหลังขอบสันเขานั้นเป็นหน้าผา หรือสันเขาจริงๆ หรือมีสันปันน้ำที่อยู่สูงกว่าหลังสันเขานั้นหรือไม่
และแสดงให้เห็นว่าสยามฝรั่งเศสไม่ได้หาสันปันน้ำตามภูมิศาสตร์ที่แท้จริง จากมุมาองของ “ด้านบน” หลังสันเขาหรือด้าน “ด้านบน” หลังหน้าผา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะต้องใช้มุมองจากบนเขาดงรัก หรือมองจากบนหน้าผาเท่านั้นจึงจะสามารถหาสันปันน้ำทางภูมิศาสตร์ที่แท้จริงได้
และนี่คือเหตุผลว่า 195 กิโลเมตรจากช่องบกถึงช่องสะงำ จึงไม่เคยมีหลักเขตเพราะใช้ขอบหน้าผาเป็นเส้นเขตแดน และบริเวณจากหลักเขตที่ 1 จากช่องสะงำ ถึงหลักเขตที่ 28 จังหวัดสระแก้วความยาว 170 กิโลเมตร แม้จะมีหลักเขต แต่ก็ปักเอาไว้ใกล้ๆ กับขอบหน้าผา ไม่ใช่ปักหลักเขตไปตามสันปันน้ำของภูมิศาสตร์ที่แท้จริงอย่างที่คนยุคปัจจุบันกำลังแสวงหาหรือใช้เทคโนโลยี LiDAR อย่างที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้
มีคำถามที่สำคัญตามมาว่า ข้อต่อสู้เรื่อง “หน้าผา” ไม่สามารถใช้ได้จริง เพราะไทยก็ยังแพ้คดีปราสาทพระวิหารเมื่อ พ.ศ. 2505 มาแล้ว และศาลได้ตัดสินโดยใช้กฎหมายปิดปากอย่างไม่เป็นธรรมว่าเพียงเพราะประเทศไทยไม่ได้ปฏิเสธแผนที่ซึ่งแม้จะขีดผิดไม่เป็นไปตามสันปันน้ำหรือขอบหน้าผา
แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งการต่อสู้ของฝ่ายไทยได้ทำให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ได้ลงมติตัดสิน “แผนที่” และ “เส้นเขตแดน”ตามที่กัมพูชาร้องขอ ถ้าประเทศไทยได้ยกเลิก MOU 2543 ประเทศไทยก็เป็นที่ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่ยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้ลงมติในเรื่องแผนที่ดังกล่าว ก็ต้องหันกลับไปยึดที่หลัก “ขอบหน้าผา” เหมือนเดิม
ถึงเวลานั้นประเทศไทยก็ควรจะยึดหลักการของ “ขอบหน้าผา” ตามบรรพบุรุษ แทนความผิดพลาดของแผนที่ทุกชนิด หรือเทคโนโลยีทุกชนิดที่จะนำพาประเทศไทยให้ไปยอมรับอย่างอื่น โดยถ้ายึดหลักการนี้ ภูมะเขือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ฯลฯ ก็ไม่ต้องมีข้อพิพาทในการหาสันปันน้ำหรือยึดหลักแผนที่ซึ่งผิดพลาดแบบคนในยุคปัจจุบันอีกต่อไป
และไม่ปล่อยให้กัมพูชาปีนขึ้นมาบนหน้าผา โดยอ้างแผนที่ซึ่งขีดเส้นเขตแดนผิด หรือมาหาสันปันน้ำหลังขอบหน้าผา อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
โดยให้คำนึงถึงความลึกซึ้งของบรรพบุรุษไทยและฝรั่งเศสที่ได้คำนึงถึง “ขอบหน้าผา” โดยอาศัยหลักการที่ว่า เส้นเขตแดนจะต้องสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่สร้างปัญหาการข้ามกันไปโดยไม่รู้ตัว ไปตามหลักการของสามัญสำนึก และข้อเท็จจริงในวิธีการปกครอง และไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศในวันข้างหน้า นั่นคือ ”สยามอยู่ข้างบน เขมรต่ำอยู่ข้างล่าง“
จะทำได้ต้องเริ่มต้นด้วยการยกเลิกแผนที่ 1:200,000 ใน MOU 2543 ให้ได้เสียก่อน และช่องของอนุสัญญาว่าด้วยการทำสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 มาตรา 60 (1) ได้เปิดช่องให้ประเทศไทยใช้สิทธิ์ “ยกเลิก” เพื่อ “แก้ไข”สนธิสัญญาฝ่ายเดียวได้ เพราะกัมพูชาได้เป็นฝ่ายละเมิด MOU 2543 อย่างร้ายแรง
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
4 ธันวาคม 2568


