วันนี้(18 พ.ย.)ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคระห์การสื่อสารของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต่อกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ภายหลังการหารือทางโทรศัพท์กับนายโดรัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ และนายอันวาร์ อิราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน ระบุว่า เรื่องนี้ มี 3 ประเด็นสำคัญ ที่น่าสนใจและสมควรที่จะต้องทำความเข้าใจร่วมกัน คือ
พลวัตความมั่นคงชายแดน 2. กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ และ 3. การรักษาสมดุลระหว่างสันติภาพกับอธิปไตยแห่งรัฐ ซึ่งทั้งหมดถูกผสานอยู่ในการสื่อสารของนายกรัฐมนตรี มีข้อสังเกต 6 ข้อ ดังนี้
1.ในข้อ 1–4 นายกรัฐมนตรีไทยแสดงให้เห็นว่าไทยยอมรับคำแนะนำจากมิตรประเทศ แต่จะไม่ยอมประนีประนอมกับการละเมิดอธิปไตยโดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานจากผู้สังเกตการณ์นานาชาติยืนยันว่าทุ่นระเบิดที่พบเป็นของใหม่และถูกลอบวางหลังการลงนามปฏิญญา นี่คือจุดที่รัฐบาลจำเป็นต้อง “แสดงความหนักแน่น” เพื่อรักษาความปลอดภัยชายแดนและความเชื่อมั่นของสังคมไทย ท่าทีนี้ถือว่าเป็นแนวทางที่ประเทศประชาธิปไตยจำนวนมากใช้ คือ การเปิดรับแรงกดดันทางการทูต แต่ยังคงเส้นแบ่งผลประโยชน์แห่งชาติไว้อย่างชัดเจน
2. ในข้อ 3 6 และ 8 รัฐบาลไทยระบุว่า หากกัมพูชาปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ ก็จะส่งผลกระทบต่อ “ความไว้วางใจระหว่างประชาชนสองประเทศ” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของสันติภาพอย่างยั่งยืน ในทางรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเพื่อนบ้านไม่ได้ขึ้นอยู่กับกองกำลังเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ ความต่อเนื่องของการสร้างความไว้วางใจ (trust-building) การเรียกร้องให้กัมพูชาขอโทษอย่างเป็นทางการจึงไม่ใช่แค่เรื่องศักดิ์ศรี แต่เป็น “หลักประกันขั้นต่ำ” ต่อการดำเนินกระบวนการสันติภาพในอนาคต
3. ข้อ 4 7 และ 9 แสดงให้เห็นท่าทีแบบ Peaceful but Prepared ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในยุทธศาสตร์ความมั่นคงสมัยใหม่ ในลักษณะที่ต้องการบอกต่อชาวโลกว่าไทยไม่ใช่ผู้รุกราน แต่ก็พร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยตามครรลองสากล
ข้อความของนายกรัฐมนตรีสะท้อนท่าทีนี้อย่างชัดเจนผ่านข้อความ เช่น ไทยต้องการสันติภาพ ไทยต้องการความสัมพันธ์ที่จริงใจ ไทยพร้อมที่จะปกป้องตนเองหากถูกคุกคาม นี่คือ จุดยืนที่ประนีประนอมระหว่างความสงบ (peace) กับศักดิ์ศรีภายใต้การมีอธิปไตยแห่งรัฐ (sovereignty) ซึ่งเป็นโจทย์ยากของรัฐบาลในทุกประเทศ
4. น่าสนใจมากที่ผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซียในฐานะสักขีพยานของปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ได้โทรศัพท์มาแสดงความห่วงใยและสนับสนุนไทย รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการเชื่อมโยงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับการคลี่คลายปัญหา (ข้อ 10) ขณะที่มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนจะออกเอกสารยืนยันเงื่อนไขปฏิญญา (ข้อ 11) นี่แสดงให้เห็นว่า ไทยไม่ได้โดดเดี่ยวในวิกฤตครั้งนี้ แต่มีทั้ง อาเซียน และ มหาอำนาจ อยู่ในบทบาท “ตัวกลาง” ซึ่งช่วยสร้างแรงกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลง ในทางรัฐศาสตร์ นี่คือการใช้ multilateral leverage อย่างชัดเจน
5. ในข้อ 8 นายกรัฐมนตรีชี้ว่าไทยเคยช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาในช่วงสงคราม แต่กลับพบว่าปัจจุบันรัฐบาลกัมพูชาก่อเหตุที่เป็นภัยต่อไทย การย้ำเช่นนี้มีผลทางการทูตสองด้าน คือ (1) สื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองประเทศยังดีอยู่ (2) แยก “รัฐบาลกัมพูชา” ออกจาก “ประชาชนกัมพูชา” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของ preventive diplomacy เพื่อลดการสร้างภาพศัตรูในระดับสังคม
6. เมื่อมองทั้ง 11 ข้อร่วมกัน จะเห็นว่าไทยกำลังใช้กลยุทธ์ Firm but Fair คือ ยืนบนหลักสันติวิธี ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่จะไม่เดินหน้ากระบวนการสันติภาพต่อไป หากอีกฝ่ายยังละเมิดข้อตกลง นี่คือจุดยืนที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและแนวทางการจัดการความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“ในฐานะนักรัฐศาสตร์ มองว่าวิกฤตนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาชายแดน แต่เป็นบททดสอบโครงสร้างสันติภาพของอาเซียน และเป็นบททดสอบศักยภาพทางการทูตของไทยในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์ซับซ้อนมากขึ้น รัฐบาลไทยเลือกเส้นทางที่ยืนหยัดในอธิปไตย รักษาหลักสันติภาพ ใช้พันธมิตรระหว่างประเทศเป็นแรงสนับสนุน และเรียกร้องความรับผิดชอบอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศที่มีอำนาจระดับกลาง (middle power) ใช้กันทั่วโลกในการจัดการข้อพิพาทระดับภูมิภาค”


