อดีต ส.ส.นนทบุรี ควักเงินส่วนตัวจัดถุงยังชีพช่วยผู้ประสบอุทกภัย หลังน้ำเจ้าพระยาหนุนสูงท่วมนอกคันกั้นน้ำหลายหมื่นครัวเรือน โวยระเบียบรชก. “กะลาครอบท้องถิ่น” กีดกันใช้งบช่วยปชช.เฉพาะหน้า จี้ปรับหลักเกณฑ์เยียวยาให้เท่าสมัย “นายกฯปู”
นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนนทบุรี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดนนทบุรีว่า ขณะนี้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเร่งระบายน้ำของเขื่อนหลัก โดยเฉพาะเขื่อนเจ้าพระยาที่มีการระบายน้ำถึง 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ประกอบกับน้ำทะเลหนุนจนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่นอกแนวคันกั้นน้ำหลายหมื่นครัวเรือน
นายจิรพงษ์ ระบุว่า เฉพาะเขตเทศบาลนครนนทบุรีมีแนวพื้นที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา 10 กิโลเมตร บ้านเรือนถูกน้ำท่วมแล้วกว่า 4,500 หลัง โดยนายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี ได้สั่งการสร้างแนวคันกั้นน้ำแนวที่สอง ใช้แนวถนนพิบูลสงครามจากวัดปากน้ำนนทบุรีถึงประตูระบายน้ำปากคลองบางตลาด วางกระสอบทรายและแบริเออร์ตลอดแนว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลเข้าท่วมเขตเศรษฐกิจชั้นในของจังหวัด ประชาชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำต้องยอมเสียสละยอมให้บ้านเรือนจมน้ำเพื่อปกป้องเขตเมือง และหลายคนยังช่วยดูแลแนวคันกั้นน้ำไม่ให้ถูกทำลาย ทั้งที่ตนเองได้รับความเดือดร้อนโดยตรง
นายจิรพงษ์ เผยว่าจากการสอบถามผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ พบว่ารัฐได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือไว้ 3 ระดับคือ ป้องกัน เยียวยา ฟื้นฟู โดยส่วนป้องกันและฟื้นฟูให้ท้องถิ่นใช้งบของตนเองได้ แต่ส่วนเยียวยาประชาชนต้องใช้เงินของจังหวัดผ่านงบรัฐบาลกลาง โดยเยียวยาเพียงครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งมองว่าเป็นการกีดกันไม่ให้ท้องถิ่นใช้งบเฉพาะหน้าเพื่อช่วยประชาชนได้อย่างทันท่วงที
“ตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อนทั้งทรัพย์สินและจิตใจ การแจกถุงยังชีพไม่ได้ช่วยแค่เรื่องปากท้อง แต่เป็นการให้กำลังใจด้วย แต่ท้องถิ่นกลับติดระเบียบมากมายจนทำอะไรไม่ได้ ผมจึงควักเงินส่วนตัวจัดถุงยังชีพให้ผู้ประสบภัย เพื่อบรรเทาความทุกข์และให้ขวัญกำลังใจแก่พี่น้องชาวนนทบุรี” นายจิรพงษ์ กล่าว
พร้อมกันนี้ อดีต ส.ส.นนทบุรี ยังเรียกร้องให้รัฐบาล ยกเว้นระเบียบและกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งบของท้องถิ่นในการช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งให้นำแนวทางการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาใช้เป็นเกณฑ์ ได้แก่ซ่อมแซมบ้านสูงสุด 240,000 บาท ค่าดำรงชีพ 5,000 บาท และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้รับ ไร่ละ 2,222 บาท
“หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนจริง ควรกลับมาใช้มาตรการแบบที่เคยพิสูจน์แล้วว่าสามารถฟื้นฟูชีวิตผู้ประสบภัยได้อย่างแท้จริง” นายจิรพงษ์ กล่าว


