xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ ยันไทยไม่ใช่ศูนย์กลางสแกมเมอร์ เดินหน้าปราบเต็มที่ ยอมรับขอให้ “วรภัค” ลาออกเอง เหตุต้องใช้กลไกล ก.คลังเคลียร์เรื่องนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อนุทิน” แจงไทยไม่ใช่ศูนย์กลางสแกมเมอร์ ยันเดินหน้าปราบเต็มที่ ยึดทรัพย์-ขึ้นแบล็คลิสต์ หลายราย ยอมรับ ขอให้ “วรภัค” ลาออกเอง เหตุต้องใช้กลไกล ก.คลังแก้เรื่องนี้ ย้ำยังไม่มีความผิด ยึดฎหมายไม่กลั่นแกล้งใคร โวเป็นทั้งนายกฯ-มท.1 มีอำนาจที่สุดตั้งแต่มีรัฐบาลมา ลั่นถ้าเจ้าคิดเจ้าแค้นสนุกแน่

วันที่ 5 พ.ย.นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวถึงแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์​ ที่ไทยถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางการฟอกเงิน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ก่อนที่จะบอกว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินไม่ค่อยแฟร์เพราะสแกมเป็นธุรกิจไม่ถูกกฎหมาย และเป็นธุรกิจที่น่ารังเกียจ เพียงแต่สแกมอยู่ในประเทศที่มีระบบที่ดีแล้วพัฒนาแล้วมากๆไม่ได้ จึงต้องอยู่ในประเทศที่มีช่องว่างทางกฎหมาย ซึ่งประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่ประเทศไทยดันอยู่ตรงกลางในรอบๆประเทศที่เขาสามารถทำสแกมได้ การที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดในภูมิภาคอินโดไชน่า และค่าเงินบาทก็ยังเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ​ จึงเป็นที่เชื่อถือในการแลกเปลี่ยนเงินตรา​ จึงมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่รองรับได้ดีที่สุดกับธุรกิจที่เป็นสีดำไม่ใช่เทาเท่านั้น

จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เคร่งครัดมีเจ้าหน้าที่ที่ตั้งใจในการปราบปรามสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเรามีกลไกทั้งหมด​ และได้ทำหน้าที่ไปมากแล้ว​ แต่เป็นการปฏิบัติในเชิงลับ​ จะไล่ตามเป็นตำรวจจับโจรไม่ได้ ตนบอกไปหมดแล้วว่า 4 เดือนนี้อยากได้เครื่องมืออะไรในการปราบปรามสแกม ก็ขอให้บอกมารัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่

ตนให้คำยืนยันได้ ซึ่งไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนกล้าให้คำยืนยัน พร้อมย้ำกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาปปง. เลขา สมช. และหน่วยตรวจสอบต่างๆ ว่า เราเป็นรัฐบาลไม่มีนักเลงคนไหนหรือมาเฟียคนไหน ไม่มีขาใหญ่คนไหน ที่จะใหญ่กว่ารัฐบาลได้ ในเมื่อรัฐบาลไม่กลัว ผู้โดยปฏิบัติก็ไม่ต้องกลัว

ส่วนนโยบายที่เป็นรูปธรรมและเชิงรุกนั้น ยกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่พูดไปคือนโยบายทุกอย่าง ผลงานมีอยู่ได้ตลอดทั้งยาเสพติดก็มีการจับกุมดำเนินคดี เดือนเดียวหลาย 10 ล้านเม็ด 100 ล้านเม็ดก็มี ส่วนสแกมก็ยึดทรัพย์ไป 20,000 กว่าล้านแล้วดำเนินคดีไปจำนวนมาก ทั้งถอนสัญชาติและขึ้นแบล็คลิสต์ แต่ของพวกนี้มาบอกได้อย่างไร ต้องเป็นการสืบในทางลับและไล่ขยายผล สัปดาห์ที่แล้วก็มีการถอนสัญชาติขาใหญ่รายนึงที่อยู่ไทยมา 30 ปีรัฐบาลของทุนเข้ามา 3 สัปดาห์ถอนสัญชาติเรียบร้อยไม่เห็นมีปัญหาอะไร

ส่วนที่มีการตั้งคำถามถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าท่านถูกครหาแต่ยังไม่ได้ถูกกล่าวหา และยังไม่ได้มีหลักฐานใดๆ หรือหน่วยงานไหนทั้งไทยและต่างประเทศที่ดำเนินคดี แต่เมื่อมีข่าวออกมาเรื่อยๆ ก็ยอมรับว่าตนเป็นคนไปบอกให้ท่านลาออก ซึ่งท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะในขณะนั้นเรากำลังจะต้องใช้กลไกกระทรวงการคลังในการปราบปรามสิ่งเหล่านี้ ท่านก็แสดงสปิริตทันที แค่ย้ำว่า ถ้าท่านไม่ผิดก็คือไม่ผิดจะบอกว่าผิดไม่ได้ การใช้กฎหมายในรัฐบาลชุดตนคือมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมรูปคดีไม่ใช่เกลียดคนนี้ไม่ชอบคนนี้หรือคู่แข่งทางการเมืองต้องพยายามเอาเข้ามาให้ได้อย่างที่พวกตนเคยโดนมา

เพราะสิ่งที่เราพยายามใช้กลไกของรัฐใช้กำจัดคู่แข่งทางการเมืองหรือคิดกันกล่าวหาคู่แข่งให้เสียหาย คือสิ่งที่ประเทศอารยะเขาไม่ทำและจะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดกงกรรมกงเกวียนไม่จบไม่สิ้นนักการเมืองทะเลาะกันใช้กลไก กลั่นแกล้งกัน คนที่เดือดร้อนก็คือประเทศและประชาชน คนเป็นนักการเมืองต้องไม่ทำเช่นนี้ ตนก็ไม่ทำ

พร้อมระบุต่อว่า ถ้าพูดถึงรัฐบาลนี้ หากไม่นับระยะเวลา 4 เดือน ถือว่าอำนาจมากที่สุด ตั้งแต่มีรัฐบาลมาในรอบ 20 ถึง 30 ปี เพราะนายกรัฐมนตรี และ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลกระทรวงสำคัญทุกกระทรวง และหน่วยงานที่สำคัญ ถ้าตนเจ้าคิดเจ้าแค้น น่าจะสนุกเลย เดือนหนึ่งก็ทำได้อย่าว่าแต่ 4 เดือนแต่แทนที่ตนจะเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่สิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยนเพราะเวทีโลก ไปที่ไหนก็มีคำว่า inclusive และ Just นี่คือสิ่งที่รัฐบาลจะทำ


กำลังโหลดความคิดเห็น