เมืองไทย 360 องศา
หลังเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกรอบของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีคนเชื่อว่าจะสามารถนำพาพรรคประชาธิปัตย์ ให้พลิกฟื้นและเติบใหญ่ขึ้นมาอีกรอบ โดยเฉพาะบรรดา “แม่ยก” และสมาชิกพรรคที่อยู่กับพรรคมาอย่างช้านาน อาจเชื่อมั่นแบบนั้น แต่สำหรับคนทั่วไปภายนอกกลับมองเป็นตรงกันข้าม เพราะหลายคนมองว่าเขา “เป็นยาหมดอายุ” ไปแล้ว หรือไม่ก็ผ่านจุดรุ่งเรืองสุดไปแล้ว อีกทั้งที่ผ่านมายังได้รับทราบถึงบุคลิก และแนวทางการทำงานมาแล้วว่าเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาถือว่ามาถึงยุคที่ “ตกต่ำที่สุด” แล้ว และหากจะว่าไปแล้วพรรคนี้เริ่มถดถอยมาตั้งแต่ในยุคที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค ก่อนที่จะลาออกมา หลังจากนำพาพรรคพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ด้วยการประกาศท่าทีทางการเมืองครั้งสำคัญในเวลานั้น
สำหรับสถานการณ์และพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ ก็ต้องยอมรับว่าดีขึ้นมาก ในยุคที่ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็นับตั้งแต่การโหวตเลือกนายอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคในแบบที่เสียงลงมติกันอย่างเป็นเอกภาพ ไม่มีคู่แข่ง นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า เขาได้รับการยอมรับจากสมาชิกพรรคในเวลานี้ รวมไปถึงส.ส.และบรรดาผู้อาวุโสในพรรคทุกคน
ขณะเดียวกัน หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ กลับเข้ามาแล้ว ก็มีอดีตส.ส.สมาชิกพรรคคนเก่าแก่ หลั่งไหลกลับเข้ามามากมาย ซึ่งแน่นอนว่า หากมองในแง่บวก นี่คือนิมิตหมายที่ดีว่าเป็นการ “รวมใจ” กันเพื่อพรรค และการร่วมกันฟื้นฟูพรรคกลับมาใหม่อีกครั้งในรอบหลายปี
แต่หากพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงเวลานี้จะเห็นว่า นั่นคือการรวมตัวของอดีตส.ส. และสมาชิกพรรคเก่าๆ ที่เคยอยู่กับพรรคมานาน บางคนก็เคยแยกออกไปอยู่กับพรรคอื่น หรือตั้งพรรคใหม่เคยมีมาแล้ว ซึ่งในความหมายก็คือ การรวมตัวของคนเก่าคนแก่เท่านั้น ไม่ใช่การไหลเข้ามาเพิ่มของคนใหม่ แต่อย่างใด อีกทั้งการเข้ามาก็ยังถือว่าอาจยังไม่ได้โดดเด่นนัก จนสร้างความน่าสนใจกับสังคมภายนอกได้เพียงพอ
อย่างไรก็ดี พวกเขาอาจมองอีกมุมหนึ่ง ทั้งในแง่ของความมั่นใจในความรู้และประสบการณ์ของตัวเองที่เคยบริหารงานมาแล้วในช่วงที่เป็นรัฐบาล ที่พูดได้ว่าสามารถรับมือกับวิกฤตในยุค “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ต้องยอมรับกันเหมือนกันว่า การบริหารในยุคที่มี นายกรณ์ จาติกวณิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือว่าใช้ได้ทีเดียว แม้ว่าในช่วงเวลานั้น การเมืองไม่นิ่ง เกิดม็อบคนเสื้อแดงของ นายทักษิณ ชินวัตร ตามรังควานตลอดเวลาก็ตาม
และหากมองในมุมการเมืองในตอนนั้นก็ต้องถือว่าเป็น “จุดสูงสุด” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ช่วงนั้นเขาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็สร้างความผิดหวังให้กับผู้สนับสนุน ที่น่าจะจัดการปัญหาให้สะเด็ดน้ำหลังจากมี ม็อบเผาบ้านเผาเมือง จนทำลายความชอบธรรมของผู้ประท้วงในเวลานั้น และที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ก็ได้ฉายา “ดีแต่พูด” เชื่อว่าทำให้หลายคนได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
วกมาที่สภาพภายในพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า แม้ว่าความสงบ ปัญหาความขัดแย้งภายในลดลงมามากแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย เพียงแต่ว่ายังมีปัญหาที่ยัง “เคลียร์กันไม่ลง”ในพื้นที่ ที่ถือว่าเป็นระดับ “ขาใหญ่” หรือ “บ้านใหญ่” ซึ่งถือว่า นายอภิสิทธิ์ ยังไม่มีบารมีเพียงพอที่จะเคลียร์กันได้
ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ กรณีของนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ หรือ “โกหนอ” อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) สี่สมัยแห่งบ้านใหญ่จังหวัดตรัง บิดา น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง สองสมัย และประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร จากพรรคปชป. ให้สัมภาษณ์กับไทยโพสต์ ยืนยันการตัดสินใจทางการเมืองของกลุ่มตัวเองที่ จังหวัดตรังว่า ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะย้ายออกจากพรรค ปชป.เพื่อไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ก่อนหน้านั้น นายสมชาย เคยประกาศว่าหากผลการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค มีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มีชื่อ นายสาทิตย์ (สาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ก็ไม่มี สมชาย แต่เมื่อผลการประชุมพรรคปชป.ออกมาว่า นายสาทิตย์ กลับเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคปชป. จึงต้องยืนยันคำพูดที่เคยบอกไว้ จะไม่มี นายสมชาย วันนี้ยืนยันแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
แม้ว่าที่ผ่านมา หลัง นายอภิสิทธิ์ เข้าไปเป็นหัวหน้าพรรค ก็มีการโทรศัพท์ติดต่อมาหา 4-5 ครั้ง ขอให้อยู่กับพรรค ปชป. ต่อ รวมถึงโทรศัพท์หาพี่ชาย คือ นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายกฯอบจ.ตรัง เพื่อขอให้ช่วยไกล่เกลี่ยช่วยประสาน ซึ่งก็เห็นใจนายอภิสิทธิ์ แต่เมื่อผมพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว (มีสาทิตย์ ไม่มีสมชาย) คำพูดมันเป็นนายเรา เพราะเราก็แตกกันมาก ในพื้นที่
“ผมอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มานาน ช่วยประชาธิปัตย์มาสามสิบกว่าปีแล้ว แต่วันนี้เราก็ต้องก้มหน้าเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เราผูกพัน ที่เราหวง แต่วันนี้เราต้องเดินจากไป” นายสมชาย กล่าว ตอนหนึ่งระหว่างให้สัมภาษณ์กับไทยโพสต์
แม้ว่าความขัดแย้งดังกล่าว เป็นแค่ในระดับท้องถิ่นระหว่างสมาชิกพรรค แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญกับพรรค เนื่องจากเป็นระดับบ้านใหญ่ ที่มีผลต่อการเพิ่มจำนวนส.ส.ของพรรคในพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคใต้ ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ ของพรรคประชาธิปัตย์ มาช้านาน
ภาพความชัดแย้งที่ไม่อาจร่วมพรรคเดียวกันได้ระหว่าง นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ กับ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ถือว่าเสียหาย โดยเฉพาะกับพรรค และในอนาคตกับการเพิ่มจำนวนส.ส.ของพรรคในภาคใต้อีกด้วย ขณะเดียวกันก็ยังมีแนวโน้มอีกว่า การย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทย แบบยกขบวนแบบนี้ เพราะในจำนวนนั้นยังมี นายทวี สุระบาล ส.ส.ตรัง จากพรรคพลังประชารัฐ ที่เคยเป็น ส.ส.ที่ได้คะแนนสูงที่สุดมาแล้ว ก็ย้ายไปด้วย
หากพิจารณากันตามสภาพนี้ก็ต้องถือว่า พรรคประชาธิปัตย์ในยุคของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในรอบสองนี้ แม้จะสามารถรักษาความสงบ ความเป็นเอกภาพได้ในระดับที่ใช้ได้ แต่สำหรับคนทั่วไปก็มองว่าเขา “หมดกระแส” ไม่สามารถสร้างความโดดเด่นได้ในระดับแถวหน้า ซึ่งคนในพรรคที่กลับมา ก็ “หมดแสง” กันแล้ว ภาพที่ออกมาจึงเป็นแค่การประคับประคองให้รักษาสภาพเดิมให้มากที่สุดเท่านั้น แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องเอาใจช่วยให้ฟื้นกลับมาให้ได้มากที่สุดแล้วกัน !!
 
                    

