สรุปยอดร้านค้า/ผู้ประกอบการ/วินฯ/นวดสปา ร่วม "คนละครึ่ง พลัส" ก่อนคิ๊กออฟพรุ่งนี้ ทั่วประเทศ แค่ 486,513 ราย จากยอดร้านค้าของรัฐบาลในอดีต 2.3 ล้านราย "มหาดไทย" เต้น! สั่งระดมสรรพกำลัง "ปค.จว.-ปลัดอำเภอทุกคน-กำนันผูัใหญ่บ้าน-ปลัดเทศบาล-ขรก.อปท." ลงพื้นที่ ร่วม KTB ลงทะเบียน "เพิ่มเติมให้มากขึ้น" เน้น "ตําบล/ชุมชน" เร่งรัดผู้ประกอบการร้านค้าที่สนใจ ในระดับพื้นที่ อํานวยความสะดวก จนถึง 19 ธ.ค. ปีนี้
วันนี้ (28 ต.ต.2568) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย ออกหนังบันทึกข้อความด่วนที่สุด ถึงหน่วยงานในสังกัด ทั้งกรมการปกครอง (ปค.) กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) กทม. และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด
ขอความอนุเคราะห์เชิญชวนผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส "เพิ่มเติมให้มากขึ้น"
หนังสือด่วนที่สุด ทั้ง 5 ฉบับ แจ้งประชาสัมพันธ์เชิญชวน ผู้ประกอบการร้านค้า/ผู้ประกอบการ OTOP ในพื้นที่ลงทะเบียน เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง พลัส
"เร่งรัดการลงทะเบียนผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ "ให้เพิ่มมากขึ้น" โดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 19 ธ.ค. 2568"
กรณีจังหวัด ขอให้หน่วยงานพิจารณามอบหมายเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดที่เกี่ยวข้องสนับสนุน "การออกหน่วยให้บริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit)" ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เพื่ออํานวยความสะดวก ในการรับลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้าในระดับพื้นที่ตําบล/ชุมชน
"พิจารณามอบหมาย ปลัดอำเภอทุกคน กำนันผูัใหญ่บ้าน ในกำกับ ปค. ปลัดเทศบาล และหัวหน้าสำนักปลัดของ อปท. ที่เป็นผู้ยืนยันการประกอบการร้านค้า เข้าการออกหน่วยให้บริการเคลื่อนที่ ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จนถึงวันที่ 19 ธ.ค. 2568
มีรายงานว่า จากมติครม. 7 ต.ค. สั่งการให้ มท. และหน่วยงานที่อยู่ในกำกับ มีอำนาจ ติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายกับร้านค้า หรือผู้ที่กระทำการทุจริต ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัตตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของโครงการฯ
คำสั่งของ มท.ล่าสุด นี้ ยังให้ ทั้งหน่วยงานในกำกับ และจังหวัด ดําเนินการ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านช่องทางที่เหมาะสม เชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ ชุมชนที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกําหนด
และรับรองการประกอบกิจการของร้านค้า ที่ประสงค์จะสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ตลอดจนป้องปรามมิให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ กระทําผิดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขของโครงการฯ
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงความคืบหน้าโครงการมีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ แล้วรวม 587,810 ราย แบ่งเป็น ร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จ 486,513 ราย (ร้านค้ารายเดิม 93,920 ราย และร้านค้ารายใหม่ 392,593 ราย) และร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัคร 101,297 ราย
ร้านค้าร้านบริการที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ได้จนถึงวันที่ 19 ธ.ค. ส่วนร้านอาหาร/เครื่องดื่มที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถเริ่มผูก Food Delivery Platform ได้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย. เป็นต้นไป
“รัฐบาลขอเชิญชวนให้พ่อค้า แม่ค้า ร้านบริการนวด สปา รวมทั้งผู้ให้บริการรถรับจ้างสาธารณะต่าง ๆ เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส เพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้"
และมีโอกาสเข้าร่วมโครงการในเฟสที่ 2 ซึ่งจะเป็นการ Upskill Reskill เพื่อพัฒนาทักษะด้านการค้าขาย ซึ่งจะช่วยให้ค้าขายเก่งขึ้น ลดต้นทุน และใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำมาค้าขาย สร้างรายได้ที่มั่นคงต่อไปในอนาคต ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นให้เกิดการกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว
ในส่วนของจำนวนผู้ลงทะเบียน “เป๋าตัง” 20 ล้านสิทธิ์ สามารถเริ่มใช้จ่ายผ่านแอปฯ เป๋าตัง ได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (29 ต.ค. 2568) เป็นต้นไป
โดยต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย. 2568 และผู้ที่ต้องการสั่งอาหาร/เครื่องดื่มผ่าน Food Delivery Platform สามารถสั่งผ่านแอปฯ เป๋าตังได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. 2568 จนสิ้นสุดโครงการ
สำหรับการเติมเงินเพื่อใช้จ่ายในโครงการ ประชาชนต้องใช้จ่ายค่าสินค้าและบริการตามเงื่อนไข ผ่านกระเป๋าเงิน G Wallet บนแอปฯ เป๋าตัง โดยการเติมเงินเข้า G Wallet สามารถทำได้ 4 ช่องทาง ได้แก่
1. Mobile Banking ของธนาคารชั้นนำ 9 แห่ง 2. บัญชีธนาคารกรุงไทยที่ผูกอยู่บนแอปฯ เป๋าตัง 3. QR PromptPay โดยสแกนด้วย Mobile Banking ทุกธนาคาร และ 4. ตู้ ATM ของธนาคารที่ร่วมโครงการ
ข้อมูลของ กระทรวงการคลัง พ.ศ.2564 ระบุว่า โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 ณ วันที่ 27 ธ.ค. 2563 มีผู้เข้าร่วมโครงการ 9.5 ล้านคน มีร้านค้าเข้าร่วม 1.1 ล้านร้านค้า และภาครัฐได้ช่วยสนับสนุนไป 1.9 หมื่นล้านบาท
ในระยะที่ 2 ณ วันที่ 21 มี.ค. 2564 มีผู้เข้าร่วมโครงการ 14.7 ล้านคน มีร้านค้าเข้าร่วม 2.3 ล้านร้านค้า ซึ่งในระยะที่ 2 ตัวเลข ณ วันที่ 1 เม.ย. 2564 รัฐได้ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 4.9 หมื่นล้านบาท.


