“มาร์ค” จัดเวที “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” เชิญ 3 กูรูศก.–ธุรกิจ–นโยบายร่วมถก “บรรยง” แฉศก.ไทยโตช้า–8 ดัชนีไม่ติดอันดับโลก “จุรีพร” ชี้ไทยอาจอยู่จุดต่ำสุด เสนอ “3 สร้าง” คน–สู้–โอกาส “สุวิทย์ ” ชำแหละ 3 ปัญหาฉุดรั้งประเทศต้องหลุดจากวงจรอุบาทว์การเมือง
วันนี้ (28 ตุลาคม ) พรรคประชาธิปัตย์จัดสัมมนาใหญ่หัวข้อ “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP), นางจุรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ กลุ่ม WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยมีนายวีระพงษ์ ประภา รองหัวหน้าพรรค เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เพื่อต้องการให้พรรคการเมืองกลับมามอง “ภาพใหญ่ของประเทศ” แทนที่จะติดอยู่กับความขัดแย้งหรือการเมืองรายวัน พร้อมชี้ว่าการเมืองควรเชื่อมโยงกับความทุกข์ร้อนของประชาชน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง และคุณภาพชีวิตวันนี้ข่าวการเมืองกับข่าวสังคมเศรษฐกิจเหมือนมาจากคนละโลก พรรคการเมืองต้องหันมารับฟังและตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจโลกชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเคยมี GDP เติบโตสูงถึง 9-10% แต่หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้งและแฮมเบอร์เกอร์ GDP ก็ลดลงเหลือ 5% จนกระทั่งเหลือ 1% ในช่วงโควิด-19 และการฟื้นตัวของไทยเป็นไปอย่างช้ากว่าประเทศอื่น ขณะที่ช่องว่าง GDP ระหว่างประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้วกำลังแคบลง
จากการวิเคราะห์ 8 ดัชนีที่วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, การส่งออก, การคอร์รัปชั่น, การกระจายตัว, สถาบัน และความยั่งยืน พบว่า ประเทศไทย ไม่ติดอันดับ 1 ใน 50 ของดัชนีใด ๆ เลย โดยบางดัชนีมีคะแนนตามหลังประเทศเกาหลีเหนือ มีเพียงดัชนีเดียวที่ปรับตัวดีขึ้นคือ ดัชนีคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตาม ตนยังเชื่อว่าทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ โดยการประเมินและปรับปรุง เพื่อให้ไทยพ้นจากภาวะการเติบโตช้าและความถดถอยในเชิงโครงสร้าง
นางจุรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริหาร และซีอีโอกลุ่ม WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวในเวทีสัมมนา “ประเทศไทยต้องการอะไรจากพรรคการเมือง” ว่า ประเทศไทยไม่ควรรอให้เกิดวิกฤตซ้ำ แต่ควรใช้ โอกาสในวิกฤต เพื่อเร่งปรับตัวเข้าสู่ระเบียบโลกใหม่ ปัจจุบันประเทศไทยอาจอยู่ในจุดต่ำสุดของรอบเศรษฐกิจแล้ว ประชาชนเผชิญความยากลำบากมายาวนาน จึงมีความหวังสูงต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขคือ การยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ ระบบการศึกษา และภาคเอกชน พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
นางจุรีพรระบุว่า ความไร้ประสิทธิภาพ การคอร์รัปชัน และการวางแผนที่ขาดวิสัยทัศน์ เป็นตัวถ่วงรั้งประเทศมานานพร้อมชี้ว่าทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องปรับตัว โดยฝ่ายค้านควรเป็นฝ่ายค้านที่ สร้างสรรค์ แข็งแกร่ง และตรวจสอบอย่างมีคุณภาพ เพราะคนไทยไม่โง่ และรู้ว่าการค้านใดทำเพื่อประโยชน์ประเทศ หรือเพื่อทำลายกันทางการเมือง
นางจุรีพรยังมองว่า ไทยเผชิญความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอากาศ เทคโนโลยี และสังคมผู้สูงวัยแต่ไทยยังมีศักยภาพสูงในการเป็นหมุดหมายการลงทุน เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม แรงงานมีทักษะ และพลังงานสะอาด
เธอย้ำว่าผู้นำประเทศต้องมี “ความซื่อสัตย์ วิสัยทัศน์ และความเป็นผู้นำ” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุน พร้อมเสนอแนวคิด “3 สร้าง” คือ สร้างคน สร้างสู้ และสร้างโอกาส เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาผงาดอีกครั้ง และการฟื้นฟูประเทศต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนอย่างจริงจัง หากทุกภาคส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกัน ประเทศไทยยังมีโอกาสกลับมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาคได้อีกครั้ง.
ขณะที่นายสุวิทย์ เมษิณทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าว่า การเมืองไทยจะรับมือกับโลกป่วนได้อย่างไร ในขณะที่ไทยกำลังอยู่ในภาวะป่วยดังนั้นคำถามคือ นักการเมืองที่จะมาตอบโจทย์ปัญหานี้อย่างไร ที่ผ่านมาจีดีพีเติบโตต่ำจะทำอย่างไรให้จีดีพีไทยกลับมาเติบโตมากกว่า 5 % คำตอบส่วนหนึ่งก็มาจากการเมือง นอกจจากนี้ประเทศไทยไม่สามารถแข่งขันด้วยแรงงานหรือทรัพยากรราคาถูกได้อีกต่อไป และยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีขั้นสูง กำลังถูกบีบอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศที่มีต้นทุนต่ำกับกลุ่มประเทศที่มีเทคโนโลยีสูง
นายสุวิทย์ กล่าวว่า ไทยต้องเจอกับ 3 ประเด็นเชิงโครงสร้างหลัก ที่ฉุดรั้งประเทศและเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของประเทศไทย คือ การปกครองโดยกฎหมาย แทนที่จะเป็นหลักนิติธรรมที่แท้จริง การคอร์รัปชันที่แพร่หลายและกลายเป็นเรื่องปกติ และความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง
“ไทยกำลังเผชิญ โลกป่วน ในขณะที่ประเทศป่วย โดยมี 3 ปัญหาเชิงโครงสร้างหลักที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขัน คือ1. การปกครองแบบ Rule by Law แทนที่จะเป็น Rule of Law ที่แท้จริง 2. คอร์รัปชันที่กลายเป็นเรื่องปกติ และ 3. ความแตกแยกทางการเมือง ที่ยังคงรุนแรง”
นอกจากนี้ ยังต้องเจอกับวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่เรียกว่า 3 ป. ซึ่งประกอบด้วยการปฏิวัติ ประชาธิปไตยเทียม และ การประท้วงต่อต้าน วงจรนี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมาอย่างยาวนาน โดยในประวัติศาสตร์ไทยกว่า 90 ปี ยังไม่เคยมีรัฐบาลใดที่ผ่านคุณสมบัติ 3 เรื่อง คือ ความชอบธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ได้เลย
“ที่ผ่านรัฐบาลง่วนอยู่กับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทะเลาะกับเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องให้เวทีเขา ไม่ใช่ปล่อยให้พรรคการเมืองไปกล่อมเกลา ดังนั้น พรรคต้องมีการผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่า คนรุ่นใหม่ เข้าด้วยกัน ”นายสุวิทย์ กล่าว


