ครม.รับทราบข้อเสนอแนะของ กสม.มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาร่วมกับกระทรวง-หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาแนวทางความเหมาะสมในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย
วันที่ 28 ต.ค.นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของประเทศไทย ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงสาธารณสุขสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) รายงานว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ทำให้เกิดการเสพติดนิโคตินอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ครอบครัว และสังคมโดยรวม รวมทั้งการจำหน่ายและการใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายสะท้อนถึงการขาดประสิทธิภาพในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากไทยยังไม่มีกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจนทำให้เกิดช่องว่างในการบังคับใช้
นอกจากนี้ ยังไม่มีการป้องกันการแทรกแซงของกลุ่มทุนจากการกำหนดนโยบายในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า จึงมีข้อเสนอแนะเพื่อคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพของประชาชน โดยให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายหรือผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เร่งพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ให้มีมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ครอบคลุมถึงบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ รวมถึงควบคุมการผลิต การนำเข้า การจำหน่าย การโฆษณาและการใช้ทั้งในพื้นที่จริงและสื่อออนไลน์ และดำเนินการตามหลักการในมาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาขององค์การอนามัยโลกว่าด้วยการควบคุมยาสูบให้มีผลในทางปฏิบัติมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งเร่งผลักดันให้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อป้องกัน การแทรกแซงนโยบายจากธุรกิจบุหรี่ หรือมีมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันการแทรกแซงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยที่ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 247 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 26 (3) จึงเข้าข่ายลักษณะเรื่องที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4 (1)


