เลขาฯ กฤษฎีกา แจง ครม.นัดพิเศษพิจารณาแล้ว ก่อนรัฐบาลเซ็น MOU ความร่วมมือเรื่องแร่หายากกับสหรัฐฯ ยืนยันไม่ใช่หนังสือสัญญา ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย อย่าไปดู AI สรุปเพราะไม่ตรงข้อเท็จจริง
วันนี้(28 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.05 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงกรณี การลงนามเอ็มโอยูระหว่างไทย-สหรัฐเกี่ยวกับแร่หายาก ซึ่งกังวลกันว่าจะเป็นข้อผูกพันว่า ได้อ่านฉบับจริงกันหรือยัง ยืนยันแล้วว่าไม่ได้ผูกพันกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่ได้เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่มีอะไรมากมาย อย่างที่นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้ว
ส่วนจะเป็นเงื่อนไขให้สหรัฐกดดันไทย ในเรื่องอื่นเช่น ภาษี การค้าหรือไม่นั้น นายปกรณ์ กล่าวว่าส่วนตัวมองว่าไม่ เป็นลักษณะคล้ายมีการตกลงกันและทําร่วมกัน จะพัฒนากันอย่างไรในเบื้องต้น และไม่มีผลผูกพันกฎหมายระหว่างประเทศ ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายไทย กฎหมายอเมริกาต้องบอกว่าเขาไม่ได้มาลงทุนกับเราที่เดียว แต่เรามีโอกาสไปลงทุนที่ประเทศเขาด้วยเช่นกัน หากมีความสามารถพอ เพราะฉะนั้นต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ไม่ได้บอกว่า เขาต้องมาลงทุนกับเราฝ่ายเดียว รายละเอียดก็ต้องไปว่ากัน และว่าไปตามกฎหมายแร่ ของไทย ที่ระบุว่าต้องมีการไปประมูล ซึ่งนายกฯ บอกว่าต้องมีการเปิดประมูลและแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม ดังนั้นกฎหมายไทยครอบคลุมเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนข้อกังวลที่เกิดขึ้นก็ต้องรับไว้พิจารณา เพียงแต่ในทางปฏิบัติเราจะพยายามไม่ให้เกิดปัญหา อีกทั้งสหรัฐไม่ได้ทํากับประเทศไทยเพียงประเทศเดียว มีกัมพูชาและมาเลเซียด้วย พร้อมทั้งยืนยันว่าเอ็มโอยูดังกล่าวสามารถยกเลิกได้ เพราะมีข้อยกเลิกไว้อยู่แล้ว
นายปกรณ์ ยังระบุต่อว่า เรื่องดังกล่าวมีการผ่าน ครม.นัดพิเศษไปแล้ว ดูกันละเอียด กระทรวงต่างประเทศช่วยดูถ้อยคําและเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดูกันครบ พร้อมทั้งระบุว่าอย่าไปดูที่ เอไอ สรุป เพราะไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะบางครั้งระบุว่าเป็นคู่สัญญา ซึ่งเราไม่ได้ใช้คำว่า parties แต่เป็น Participant เพราะฉะนั้นคือความเท่าเทียมของสองฝ่ายที่จะตกลงกัน ถ้าใช้เอไอสรุปก็ไปกันใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอยู่ข้อหนึ่งที่ระบุไว้ว่า จะดําเนินการอะไรต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในของแต่ละฝ่าย ว่าไม่ใช่สัญญาที่ผูกพันและผูกมัด


