xs
xsm
sm
md
lg

"อนุทิน"พึงสดับ ดีลลับกับ ทรัมป์ "ชักศึกเข้าบ้าน" MOU 43 สุดท้ายคือ "ขายชาติ" ส่อเสียดินแดนตลอดกาล! ** “อภิสิทธิ์” คนริเริ่ม แก้ ม.190 เปิดช่อง “อนุทิน-ฮุน มาเนต” เซ็นสัญญา ไม่ต้องผ่านรัฐสภา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ "อนุทิน" พึงสดับ ดีลลับกับ ทรัมป์ "ชักศึกเข้าบ้าน" MOU 43 สุดท้ายคือ "ขายชาติ" ส่อเสียดินแดนตลอดกาล!

หลังฉากการประชุม JBC ,GBC และ ถ้อยแถลงร่วมสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา และบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ว่าด้วยเรื่องความร่วมมือแร่หายาก “แรร์เอิร์ธ” ที่ประเทศมาเลเซีย นอกจากสายตาคนทั่วโลกจะได้เห็นท่าทาง “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทยเหมือน “ตัวตลก” ซึ่งภาคประชาชน อย่าง อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์, วีระ สมความคิด, เทพมนตรี ลิมปพยอม และ คมสัน โพธิ์คง แท็กทีมกันมาตีแสกหน้ารัฐบาลหนู ตีมึน-แกล้งโง่ หรือโง่จริงๆ!?

เพราะจู่ๆ ดีลแร่หายาก หรือ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย-สหรัฐฯ ว่าด้วยแร่หายาก ก็เกิดขึ้นชนิดที่ไร้ซุ่มไร้เสียง คนไทยไม่เคยรับรู้ข้อมูลมาก่อน

งานนี้ “อาจารย์ปานเทพ” ระบุ พฤติการณ์ของรัฐบาลอนุทิน ที่ปกปิดข้อมูล แต่แปลกที่ผู้นำกัมพูชา และสื่อต่างประเทศ กลับมีข้อมูลครบถ้วนยิ่งกว่าคนไทยเองซะอีก เรื่องMOU แร่หายาก กับสหรัฐฯ ที่ทำไปแบบ "เนียนๆ" ดีลลับๆ สุ่มเสี่ยงแค่ไหน ที่จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็น "สงครามตัวแทน" ในศึกอำนาจระหว่างจีน กับสหรัฐฯ

พูดง่ายๆ รัฐบาลกำลัง “ชักศึกเข้าบ้าน” และ การกระทำที่ปกปิดกับประชาชนแบบนี้ สะท้อนถึงความไม่โปร่งใส และ ความไม่รับผิดชอบต่อผลประโยชน์ชาติอย่างร้ายแรง!

อนุทิน ชาญวีรกูล เซ็น MOU เรื่องแร่หายาก กับโดนัลด์ ทรัมป์
เท่านั้นยังไม่พอ เรื่อง MOU 2543 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบก กลุ่มภาคประชาชน ตั้งคำถามกับรัฐบาลเจ็บแล้วไม่จำหรือ ? ไทยยอมให้กัมพูชา "ย่ำยี" หรือ "มีอะไรแลกเปลี่ยน"?

เรื่อง MOU 2543 เห็นได้ชัดว่า กัมพูชาละเมิดซ้ำซากไม่ว่าจะเป็นการยิงอาวุธสงครามใส่พลเรือน และวางทุ่นระเบิดใหม่ จนทหารและประชาชนไทยต้องเสียชีวิต บาดเจ็บนับไม่ถ้วน

ทำไมรัฐบาลไทย และตัวแทนประเทศถึงไม่เคยสงวนสิทธิยกเลิก MOU ที่ถูกละเมิดอย่างร้ายแรงนี้เลย?

ทำไมรัฐบาลอนุทิน "จงใจ" ปล่อยให้ข้อตกลงที่ทำให้ชาติเสียเปรียบ และคนในชาติ-ทหาร เสียชีวิตดำเนินต่อไป หรือว่ามันมี "เบื้องหลัง" อะไรที่ยอมแลกกับความสงบชั่วคราวในพื้นที่ชายแดน ?

การไม่ใช้สิทธิ “ยกเลิก” ตามอนุสัญญาเวียนนาฯ ปี 1969 ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกว่า รัฐบาลนี้ไม่กล้า หรือไม่แคร์ที่จะปกป้องอธิปไตย และชีวิตของคนไทยเลยหรืออย่างไร

คำพูดของ “อนุทิน” ที่ว่า จะไม่ยอมเสียเปรียบเขมร และไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว เป็นแค่ลมที่ผายออกมาจากกระนั้นหรือ?

ที่น่าเจ็บใจสุดๆ คือการประชุม JBC ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยกลับไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ง่ายๆ อย่างการผลักดันชาวกัมพูชา ออกจากพื้นที่รุกล้ำ “บ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว” และ สร้างกำแพงรั้วป้องกันการวางทุ่นระเบิดใหม่ได้เลย

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
“อาจารย์ปานเทพ” ชี้ให้เห็นว่า แทนที่จะแจ้งให้กัมพูชาทราบ ตามที่เคยอ้างไว้ ไทยกลับกลายเป็น "ผู้ขออนุญาต" กัมพูชา ในทุกกรณี

บ้าไปแล้ว ที่ไทยกลับกลายเป็นผู้ขออนุญาตกัมพูชา และเมื่อไม่มีกำหนดเวลา ก็เท่ากับว่า เรายอมสูญเสียพื้นที่ไปตลอดกาล จนกว่ากัมพูชาจะเมตตาให้เราคืน... “อนุทิน”ต้องการเช่นนี้จริงๆ หรือ?

และที่สำคัญคือ พื้นที่ที่ไทยเคยเสียไปแล้วอย่าง ปราสาทตาควาย, ปราสาทคนา, ช่องอานม้า ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คืน สะท้อนให้เห็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว หรือการต่อรองที่อ่อนปวกเปียกของ “อนุทิน”

ตลอดจนพื้นที่ 11 จุด ที่ประเทศไทยนำกลับมาได้โดย “พลโทบุญสิน พาดกลาง” อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ก็มีความสุ่มเสี่ยง ที่กัมพูชาจะอ้างสู่นานาชาติได้ว่า ประเทศไทยจะต้องนำคืนกลับมาตาม แผนที่ 1:200,000 ที่ปรากฏอยู่ในข้อ 1 (ค) ของ MOU 2543 และ กัมพูชาอาจอ้างด้วยว่า ประเทศไทย ละเมิดตามข้อ 5 ตาม MOU 2543 เพราะมีการสร้างฐานธงชาติไทยแบบถาวรบริเวณภูมะเขือ หากประเทศไทยปล่อยให้มีการเดินหน้าใช้ MOU 2543 ต่อไป โดยไม่มีการตั้งข้อสงวนเอาไว้ เพื่อยกเลิก MOU 2543 ดังกล่าว

ประเด็นสุดท้ายคือ เรื่อง "แผนที่" เมื่อนายกฯ และกระทรวงต่างประเทศอ้างว่าจะใช้ "เทคโนโลยี LiDAR" มาทดแทนแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่มีปัญหา แต่ภาคประชาชนก็ตอกกลับทันควันว่า ตาม TOR 2546 ระบุชัดว่า LiDAR เป็นแค่ "เส้นสำรวจ" ส่วน "เส้นเขตแดน" ยังต้องยึดตาม ข้อ 1 ของ MOU 2543 ที่มีปัญหา และที่แย่กว่านั้นคือ รัฐธรรมนูญกัมพูชา เองก็ระบุชัดว่า ต้องใช้ “แผนที่สยาม-ฝรั่งเศส 1:200,000" เท่านั้น

การที่รัฐบาลไทย พยายามอ้างเทคโนโลยีใหม่มากลบเกลื่อนความผิดพลาดของแผนที่เก่า จึงเป็นเพียง "การขายฝัน" หรือเป็นการ "หลอกตัวเอง" เพื่อเลี่ยงการยกเลิก MOU ที่เป็นปัญหา

นี่ต้องจับตามองต่อว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือ ท้ายที่สุดแล้วประวัติศาสตร์จะต้องจารึกลงไปอีกว่า รัฐบาลชุดนี้ เป็นอีกรัฐบาลที่ขายชาติ?

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
++ “อภิสิทธิ์” คนริเริ่ม แก้ ม.190 เปิดช่อง “อนุทิน-ฮุน มาเนต” เซ็นสัญญา ไม่ต้องผ่านรัฐสภา

การไปประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศมาเลเซีย ของ“อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ ช่วงการประชุมนอกรอบ ในวันที่ 26 ต.ค.68 ได้มีการลงนาม “หยุดยิง” แก้พิพาทชายแดน ระหว่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรีของไทยกับ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

มีผู้นำระดับโลกอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา และ “อันวาร์ อิบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน

สาระสำคัญของข้อตกลง“สันติภาพ”ครั้งนี้ นอกจากให้กัมพูชาถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามอาชญากรรม สแกมเมอร์ ยังมีเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดน

ซึ่งเรื่องเขตแดน ถือเป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและอาณาเขตของประเทศ แต่เดิมนั้น หากจะมีการหารือ หรือตกลงในเรื่องนี้ ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ต้องให้ประชาชนได้รับรู้ก่อน

แต่ครั้งนี้ “อนุทิน” บอกว่าไม่ต้อง แค่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม. รู้กันแค่ในครม.ก็พอ

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะอะไร? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ !

เรื่องนี้ต้องย้อนไปในยุค “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ได้ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 190 โดยเขาให้เหตุผลว่า เพื่อเอื้อให้การเจรจา JBC เรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ทำได้ง่ายขึ้น

มาตรา190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ระบุเอาไว้ว่า...

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ ในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศ หรือกับองค์การระหว่างประเทศ

หนังสือสัญญาใด มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือ เขตพื้นที่นอกอาณาเขต ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญา หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับเรื่องดังกล่าว

ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูล และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้น ในการนี้ ให้คณะรัฐมนตรี เสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบด้วย


เมื่อลงนามในหนังสือสัญญาตามวรรคสองแล้ว ก่อนจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพัน คณะรัฐมนตรี ต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือสัญญานั้น และในการที่การปฏิบัติตามหนังสือสัญญาดังกล่าว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน หรือ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม”

สรุปให้เข้าใจง่ายๆ คือ รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบ และต้องขออนุมัติจากที่ประชุมรัฐสภา ก่อนไปเจรจา

แต่ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” แก้ไขหลักการสำคัญ ให้กลายเป็นว่า 1. รัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับฟังความเห็นประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวกับอาณาเขต 2. รัฐบาลไม่ต้องขอความเห็นชอบ "กรอบการเจรจา" จากสภาก่อน และ 3. ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั้น
แม้การแก้ไข ม.190 จะไม่เสร็จใน“รัฐบาลอภิสิทธิ์” แต่เรื่องนี้ก็ถูกนำมาผลักดันต่อในสมัยรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และมาสำเร็จในยุคคสช. คือ รัฐบาล“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดยเนื้อหาดังกล่าว ถูกย้ายไปอยู่ในมาตรา 178 ของ รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นการจงใจย้ายมาตรา เพื่อ "หลบสายตาประชาชน"

ใจความสำคัญของ มาตรา178 ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่บังคับให้เปิดเผยข้อมูล และไม่ต้องขออนุมัติจากรัฐสภา ก่อนเจรจา
เท่ากับว่า มาตรา 178 ออกแบบมาเพื่อ “ปกปิดข้อมูล” ทำให้รัฐบาลไปเจรจาอะไรก็ได้ โดยที่ประชาชนไม่ต้องรู้ แม้จะเป็นเรื่องร้ายแรง ถึงขั้นขายชาติ รัฐสภาหรือประชาชน ก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านล่วงหน้า

และวันนี้ก็ได้เห็นผลลัพธ์ ของ มาตรา178 กันแล้วว่า สิ่งที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี ทำไปโดยไม่ให้ประชาชนรับรู้ก่อนนั้น สุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนแค่ไหน

ถึงบรรทัดนี้ ต้องถาม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ว่า เริ่มต้นเสนอแก้ มาตรา190 ในรัฐธรรมนูญ 2550 ทำไม... ทำไปทำไม?!?


กำลังโหลดความคิดเห็น