xs
xsm
sm
md
lg

ลงนามสันติภาพ ญาติดีกับเขมรเป็นไปได้!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




เมืองไทย 360 องศา


แม้ว่าไทยกับกัมพูชา จะได้ลงนามในสิ่งที่เรียกว่าเป็นเจตนารมณ์ต่อสันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ เพื่อหวังว่าจะปูทางไปสู่การลงนามสันติภาพระหว่างกันต่อไปในอนาคตก็ตาม แต่อย่างไรก็ดี ยังมีการคาดหมายกันว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันจะยังเกิดได้ยาก

ก่อนหน้านนี้ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การลงนาม Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีสาระสำคัญ ดังนี้

1. ผู้นำไทยและกัมพูชาแสดงเจตนารมณ์ต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างสองประเทศ ย้ำมุ่งมั่นที่จะละเว้นการคุกคามและใช้กำลัง แก้ไขข้อพิพาทโดยสันติ เคารพต่อเขตแดนและกฎหมายระหว่างประเทศ

2. สองประเทศยืนยันความมุ่งมั่นในการยึดมั่น และดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้บรรลุร่วมกันในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป

3. สองประเทศได้ลงนามในเอกสาร “ขอบเขตการจัดตั้งกลไกผู้สังเกตการณ์อาเซียน” (ASEAN Observer Team: AOT) เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ โดยขอให้รัฐสมาชิกให้การสนับสนุนเพื่อให้ AOT ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจ

4. ให้คำมั่นที่จะลดความตึงเครียด ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อให้มั่นใจว่าข้อตกลงหยุดยิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ ได้มีการตกลงขั้นตอน ดังต่อไปนี้

ทั้งสองฝ่ายจะลดความตึงเครียดทางทหาร โดยจะถอนอาวุธหนักและยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนภายใต้การสังเกตการณ์ของ AOT พร้อมมอบหมายคณะทำงานร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างเป็นขั้นตอน

ละเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือวาทกรรมที่ยั่วยุความขัดแย้ง เห็นพ้องที่จะดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นทันทีและเต็มรูปแบบ ประสานงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดน ตามที่ได้ตกลงในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ

ยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนและจัดทำหลักเขตแดน โดยสันติวิธีและกฎหมายระหว่างประเทศ ละเว้นการคุกคามหรือใช้กำลัง และการกระทำที่เป็นการยั่วยุ โดยใช้กลไกทวิภาคีสำหรับการทำงานร่วมกัน

ทั้งนี้ โฆษกฯ ย้ำต้องมีการดำเนินการตามข้อ 1-4 แล้วเท่านั้น ทั้งสองประเทศจึงจะพิจารณายุติสถานะความเป็นปรปักษ์อย่างเป็นทางการ และจึงจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการปล่อยเชลยศึกชาวกัมพูชา จากนั้น จึงจะพร้อมเพิ่มพูนร่วมมือด้านต่าง ๆ ต่อไป เพื่อให้สองประเทศมองไปข้างหน้าและเริ่มต้นพัฒนาความสัมพันธ์ ในฐานะเพื่อนบ้าน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุถึงกรณีที่ความห่วงกังวลว่าการเจรจาของพวกตนจะทำให้ไทยเสียเปรียบหรือไม่ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ในปฏิญญา 4 ข้อ ที่จะลงนามกับทางรัฐบาลกัมพูชา ไม่มีข้อไหนที่จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบแม้แต่ข้อเดียว ปฏิญญานี้ ไม่ใช่สนธิสัญญา ดังนั้น จึงไม่ต้องขอการรับรองจากรัฐสภา โดยได้รับการรับรองจากคณะรัฐมนตรี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีหัวข้อหลัก 4 ข้อใหญ่ ที่ทางรัฐบาลกัมพูชา จะต้องดำเนินการ คือ

1. การถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน 2. การเก็บกู้วัตถุระเบิด 3. การร่วมมือการปราบปรามอาชญากรรม สแกมเมอร์หรืออาชญากรรม ทางเทคโนโลยี และ 4. การหาแนวทางในการบริหาร พื้นที่ ทับซ้อนร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งทั้ง 4 ข้อจะต้องเริ่มจากกัมพูชาก่อน เมื่อเขาเริ่มแล้ว เราถึงจะมาประเมิน ดำเนินการต่อไปในเรื่องของการทำให้เกิดสันติภาพ ในความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองประเทศ

“ยังไม่มีที่ว่าเราจะเปิดด่าน หรือดำเนินการใดๆ ที่บอกว่ายอมเสียดินแดน เดี๋ยวจะเสียดินแดน เดี๋ยวจะสร้างรั้ว เดี๋ยวจะใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ตอนนี้ประเทศไทยไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขตรงนี้เลย ปฏิญญานี้ก็คือ สิ่งที่จะนำไปสู่ การปฏิบัติของทั้งสองประเทศ ที่จะทำให้เกิดสันติภาพ เกิดความสงบ ในพื้นที่ชายแดน ของทั้งสองประเทศ และความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ เราไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใครเลย แม้แต่คนเดียว เรารักสงบอยู่แล้ว ในเพลงชาติก็บอกว่าไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด สิ่งที่ประเทศไทยปฏิบัติมาตลอด ตั้งแต่เรามีปัญหา ด้านความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา เรายังยึดมั่นอยู่ในกรอบนี้”

แน่นอนว่านั่นคือคำเน้นย้ำของ นายกรัฐมนตรีของเรา ว่าจะไม่ยอมเสียเปรียบและเสียดินแดนอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดีก็ยังมีความเป็นห่วงว่า ทางฝ่ายกัมพูชาจะยอมทำตามที่พูดหรือสัญญาเอาไว้หรือไม่ และฝ่ายไทย โดยเฉพาะคนไทยไม่น้อยที่ไม่เคยไว้ใจกัมพูชา เพราะที่ผ่านมาพูดอย่างทำอย่างมาตลอด

ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากท่าทีและความเคลื่อนไหวของ ฝ่ายผู้นำกัมพูชา คือ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี ที่ดูเหมือนกับว่า ใช้โอกาสนี้ ในเวทีระหว่างประเทศสร้างภาพในการมุ่งมั่นรักษาสันติภาพ อีกทั้งหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เขาใช้โอกาสนี้พยายามใกล้ชิดกับ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เหมือนกับว่าใช้ช่วง “นาทีทอง” ขอความช่วยเหลือ และใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาท่าทีโดยรวมถือว่ากัมพูชาได้ “อ่อนลง” อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเชื่อว่าเป็นเพราะพวกเขากำลังจนมุมและลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ “ภาพลบ” ในสายตานานาชาติที่กลายเป็น “ศูนย์กลางความหลอกลวง” ทุกรูปแบบ ซึ่งภาพลักษณ์ในทางลบแบบนี้แหละที่ทำให้ทำให้พวกเขาจนมุม และต้องลดท่าทีลงมาดังกล่าว

แต่นาทีนี้สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เชื่อว่าสำหรับความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา ในอนาคตอันใกล้ไม่มีทางไว้ใจ รวมไปถึงไม่มีทาง “ญาติดี” กันแน่นอน ลักษณะจึงน่าจะออกมาในแบบที่แม้ว่าไม่ถึงขั้นไม่ต้องเป็นศัตรู แต่จะเป็นแบบ “ต่างคนต่างอยู่” ทางใครทางมัน เพราะที่ผ่านมาได้รับรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมในแบบ “คบไม่ได้” และเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่มีประโยชน์ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น