xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงฟาด "โรม" มั่วได้โล่!? CEO เทียนเทียน คนละคนกับ “เบน สมิธ” !! ** “มาร์ค” ยาหมดอายุ! ปลุกผีประชาธิปัตย์ไม่ขึ้น MOU 43 ตามมาหลอน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ลอเรนซ์ อีวาน เฟลด์แมน - รังสิมันต์ โรม - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ข่าวปนคน คนปนข่าว



++ ความจริงฟาด "โรม" มั่วได้โล่!? CEO เทียนเทียน คนละคนกับ “เบน สมิธ” !!

กลายเป็นประเด็นร้อนครึกโครม กรณีสแกมเมอร์และวงการเมือง เมื่อ “รังสิมันต์ โรม” ส.ส.พรรคประชาชน ผู้ชอบถือธงความถูกต้องออกมาอภิปรายในสภา พาดพิง “เบน สมิธ” หรือชื่อเต็มๆ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็น “สแกมเมอร์รุ่นดั้งเดิม” เกี่ยวพันกับบริษัท Tian Tian Ventures ที่ ก.ล.ต. เคยกล่าวโทษในคดีฉ้อโกงประชาชน

แต่ล่าสุด ข้อมูลที่ “โรม” ใช้กลับเป็นคนละเรื่อง ! เมื่อรายงานการสอบสวนของ ตำรวจบก.ปอศ. ออกมาชี้ชัดว่า

คนที่เป็น CEO ของบริษัทเทียนเทียนฯ ตัวจริงนั้น ไม่ใช่เบน สมิธ อย่างที่โรมกล่าวหา แต่คือชายชาวอเมริกันชื่อนายลอเรนซ์ อีวาน เฟลด์แมน (Mr.Lawrence Evan Feldman)

รายงานของพนักงานสอบสวนยังระบุชัดว่า Mr. Lawrence Evan Feldman อายุ 36 ปี สัญชาติอเมริกัน เป็นผู้จัดกิจกรรมเสนอขายหุ้น Tian Tian Ventures ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2562 โดยอ้างตัวเป็น “Benjamin Berger” CEO ของบริษัท และหลอกชักชวนให้นักลงทุนร่วมซื้อหุ้น อ้างว่าจะนำบริษัทเข้าตลาด NASDAQ ที่สหรัฐฯ

ภายหลังก.ล.ต. ร้องทุกข์ กับ ปอศ.และ ตำรวจขอศาลออกหมายจับ Lawrence Evan Feldman เมื่อปี 2564

ส่วน“เบน สมิธ” ที่ถูกโรมโยงเข้าคดีนั้น ตำรวจตรวจสอบฐานข้อมูลตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ไม่พบว่าเกี่ยวข้องแม้แต่นิดเดียว
นี่สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของ สส.พรรคประชาชน "รังสิมันต์ โรม" ออกลูกหลุด เข้าขั้นมั่วข้อมูลหรือไม่ !? เพราะไม่ได้ตรวจสอบให้ดี เห็นชื่อ "เบนจามิน" ก็คว้ามาพูดไว้ก่อน

รังสิมันต์ โรม
ทั้งๆ ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจากใครอื่น แต่ปรากฏในรายงานสอบสวนและยืนยันโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงยังมีคำยอมรับจาก Tom Wright อดีตผู้สื่อข่าว วอลสตรีทเจอร์นัล ผู้ซึ่ง “โรม” ใช้บทความของเขาเป็นข้อมูลประกอบการอภิปรายด้วยตัวเอง

โดย Tom เขียนยอมรับว่า “Benjamin Berger” ที่ขึ้นเวทีในวันนั้น แท้จริงแล้วคือ Lawrence E. Feldman ครูสอนภาษาอังกฤษ และนักแสดงอิสระชาวอเมริกัน ที่รับจ้างเล่นโฆษณาในจีน เป็นครั้งคราวเท่านั้น

เรียกว่า โรมหน้าแตกเต็มๆ ในเรื่องนี้ เมื่อข้อมูลทุกชิ้น ชี้ชัดว่า “เบน สมิธ” ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี "เทียน เทียน" ใดๆ เลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากคำอภิปรายของ “รังสิมันต์ โรม” จึงย้อนกลับมาตบหน้าตัวเองเต็มๆ จาก “ผู้ตรวจสอบความจริง” กลายเป็น “ผู้ไม่ตรวจสอบก่อนพูด”

และแน่นอน… ฝ่ายเบน สมิธ ไม่ปล่อยไว้เฉยๆ เพราะได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย100 ล้านบาทแล้ว ข้อหา “หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา” ก็คงต้องติดตามการต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป

เอาเป็นว่างานนี้ ว่ากันว่า…ในแวดวงการเมืองตอนนี้ หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า หรือ “โรม” จะติดโรคเรื้อรังของนักการเมืองรุ่นใหม่ เชื่อข้อมูลโซเชียลฯ มากกว่าข้อเท็จจริง?

เพราะสุดท้าย “ความจริง” ก็ยังเป็นความจริง ไม่ว่านักการเมืองที่บอกเป็นคนรุ่นใหม่หรือจะเก๋าปากแจ๋ว ถ้าไม่ตรวจสอบให้ชัด ก็มีสิทธิ์โดน “ตบหน้าด้วยเอกสาร” เหมือนกรณีนี้แหละ !

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
++ “มาร์ค” ยาหมดอายุ! ปลุกผีประชาธิปัตย์ไม่ขึ้น MOU 43 ตามมาหลอน

มติที่ประชุมใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 18 ต.ค.68 เห็นชอบให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 และอดีตหัวหน้าพรรคฯ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ในวัย 61 ปี

การกลับมาของ “อภิสิทธิ์” เป็นห้วงเวลาที่ความนิยมของพรรค "ตกต่ำที่สุด" ในรอบ 79 ปี นับจากก่อตั้ง เพราะในการเลือกตั้งทั่วไป ปี2566 ประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” มีผู้แทนฯที่เข้าสู่สภาเพียง 25 คน และได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ต่ำกว่า1 ล้านคะแนน เป็นครั้งแรก

“อภิสิทธิ์”ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้เลือกทีมบริหารพรรคชุดใหม่ แต่เป็นคนหน้าเก่าเกือบทั้งหมด จึงมีเสียงวิพากวิจารณ์เปรียบเปรยว่า เป็น “เหล้าเก่า ในขวดเก่า” ... หนักหน่อยก็ว่า “เป็นยาหมดอายุ”

ในที่ประชุมพรรค “อภิสิทธิ์” พูดถึงปัญหาเศรษฐกิจ ในเชิงไม่เห็นด้วยกับโครงการการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าง “โครงการคนละครึ่ง” ว่า 3 เดือน 4 เดือน หลังจากโครงการจบ สิ่งที่รัฐบาลทิ้งไว้ก็คือ หนี้ที่เพิ่มขึ้น

พูดเหมือนกับลืมไปว่า ในสมัยที่ประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล ตัวเองเป็นรัฐมนตรี หรือ นายกรัฐมนตรี ก็เคยใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบ “กู้มาแจก” เหมือนกัน เสร็จแล้วประเทศก็เพิ่มหนี้เหมือนกัน

อย่างเช่น “โครงการมิยาซาวา” ในปี 2542 ที “ชวน หลีกภัย” เป็นนายกฯ “ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์” เป็นรมว.คลัง “อภิสิทธิ์”เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กู้มา 53,000 ล้านบาท บอกว่าจะเอามาลงทุน สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงสาธารณูปโภค ยกระดับการศึกษา การแปรรูปสินค้าการเกษตร ฯลฯ แต่สุดท้ายก็มีแต่ข่าว “คอร์รัปชัน” กันแหลกลาญ กลายเป็นหนี้ต่างประเทศที่ต้องมาตามชดใช้กันภายหลัง

หรืออย่าง “โครงการไทยเข้มแข็ง-เช็คช่วยชาติ” ในยุคที่ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ และ “กรณ์ จาติกวณิช” เป็นรมว.คลัง ก็แจกเงิน แก่บุคลากรภาครัฐ และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ15,000 บาท ให้ได้รับเงินช่วยเหลือ 2,000 บาท/คน โดยจ่ายผ่าน“เช็คช่วยชาติ” วงเงินทั้งสิ้น 19,400 ล้านบาท แต่ระบบการจัดการ “ห่วยแตก” จนคนก่นกันทั้งบ้าน ทั้งเมือง

ยังมีเรื่องในช่วงที่ “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นรัฐบาล เกิดวิกฤตน้ำมันปาล์มขาดแคลนอย่างหนัก ในปี 2554 ท่ามกลางเสียงครหาว่า มีการกักตุน เตรียมเงินไว้หาเสียงเลือกตั้ง

มาถึงวันนี้ ประเทศชาติกำลังมีปัญหาด้านความมั่นคง เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา “อภิสิทธิ์” ต้องพูดให้ชัดว่าจะเอาอย่างไร
เพราะตอนนี้คนไทย รู้แล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น เป็น “สารตั้งต้นของ MOU2543” ตั้งแต่สมัยรัฐบาล“ชวน หลีกภัย” แล้ว “อภิสิทธิ์” พอเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงปี 2551-2554 ก็มีเรื่อง “วีระ สมความคิด กับ “ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์” ต้องไปติดคุกเขมร รวมถึง สส.ของประชาธิปัตย์เอง อย่าง “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ถูกกล่าวหาล่วงล้ำข้ามแดน ทั้งๆที่ยืนอยู่บนแผ่นดินไทย

“อภิสิทธิ์” ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี “รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” พิจารณาแนวทางการจัดทำประชามติ ยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล และมีการแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว ถ้าถามตนเอง ก็อยากจะบอกว่า ถ้ารัฐบาลยืนยันจะเดินหน้า สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำให้ชัดเจนด้วยก็คือ ถ้าจะยกเลิก เอ็มโอยู 43-44 โดยการตัดสินของประชาชน ทางเลือกคือ อะไร และยุทธศาสตร์ในกรณีที่ไม่มีเอ็มโอยู คือ อะไร ตนยังไม่ได้ยินว่าถ้ายกเลิกแล้ว จะเดินไปในแบบไหน อย่างไร ประชาชนก็จะตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ว่า ควรจะเดินในรูปแบบใด

พูดเหมือน แสดงความห่วงใย เรื่องยกเลิก MOU ทั้งๆ ที่ตัว “อภิสิทธิ์”เองเป็นคนนำ MOU 2543 ไปขึ้นทะเบียนต่อสำนักเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ในรายการชุดสนธิสัญญา เมื่อ ปี 2554 คือ เอาไปขึ้นทะเบียนหลังจาก MOU 43 ผ่านไปแล้ว 11 ปี

ต้องถามว่า “อภิสิทธิ์” ทำไปทำไม ?!

ทั้งๆ ที่รู้ว่า MOU2543 ได้กำหนดให้จัดทำหลักเขตแดน ตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ทำให้ไทยเสียเปรียบ และกัมพูชา สามารถเอาไปอ้างต่อสหประชาชาติได้

นอกจากนี้ ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังมี “การหมกเม็ด” แก้ไข รธน.มาตรา 190 ของ รธน.ปี 50 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้การเจรจา JBC เรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา ให้ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งหลักใหญ่ใจความอยู่ที่ว่า ม.190 (เดิม) รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบ และต้องขออนุมัติจากสภา ก่อนไปเจรจาเรื่องเขตแดน

การแก้ ม.190 แม้จะไม่สำเร็จในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอามาผลักดันต่อ และมาสำเร็จในยุคคสช. รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเนื้อหาดังกล่าวถูกย้ายไปอยู่ใน มาตรา 178 ของ รธน.ปี 60

โดย ม.178 ไม่บังคับให้เปิดเผยข้อมูล และไม่ต้องขออนุมัติสภา ก่อนเจรจา

ยังมีตราบาปเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทพระวิหาร ก็เกี่ยวพันกับ “อภิสิทธิ์” โดยตรง เมื่อกัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความ คดีปราสาทพระวิหารใหม่ เพื่ออ้างสิทธิ์ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้คัดค้าน ไม่ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ส่งตัวแทนไปสู้คดี เพราะไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น และ เชื่อว่าส่งไปก็มีแต่แพ้ ถ้ามีการยึดตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ฟัง และได้ส่งทีมไปสู้คดีในศาลโลก จนกระทั่ง ในปี 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไทยก็แพ้คดีในศาลโลกจริงๆ

วันนี้ “อภิสิทธิ์” คนเดิม ทีมงานชุดเดิมๆ คิดจะกลับมาฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อกลับมาบริหารประเทศ ... ขณะเดียวกัน ผลงานเก่าที่สร้างรอยแผลให้กับประเทศชาติเอาไว้ ก็กำลังตามมาหลอน “อภิสิทธิ์” เช่นกัน!


กำลังโหลดความคิดเห็น