เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย สมาชิกเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศ จำนวน 13 องค์กร เข้ายื่น ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. .... (ฉบับภาคประชาชน) พร้อมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 26,729 รายชื่อ ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรและตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวมุ่งอุดช่องว่างของกฎหมายความรุนแรงในครอบครัวฉบับปัจจุบัน ให้คุ้มครองผู้ถูกกระทำและลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้จริง โดยมีตัวแทนประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมือง มาร่วมรับร่าง พ.ร.บ. ฉบับภาคประชาชนและรายชื่อผู้ร่วมเสนอกฎหมายจากตัวแทนเครือข่ายฯ
นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่าสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวของประเทศไทยนับวันจะยิ่งทวีความร้ายแรงมากขึ้น เห็นได้จากสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เสนอผ่านสื่อในปี 2566 ซึ่งทางมูลนิธิฯ รวบรวมไว้ พบข่าวความรุนแรงในครอบครัวทั้งสิ้น 1,086 ข่าว แบ่งเป็น 5 ประเด็นข่าว ได้แก่ 1) ข่าวการทำร้ายกันจนได้รับบาดเจ็บ 39.9% ในจำนวนนี้เป็นการทำร้ายระหว่างสามี-ภรรยามากที่สุด 35% ระหว่างพ่อ-แม่-ลูก 25% และระหว่างคู่รักแบบแฟน 24% โดยส่วนใหญ่มีการใช้อาวุธร่วมด้วย เช่น มีด ไม้ ท่อนเหล็ก น้ำร้อนราด กรรไกร รวมถึงการใช้อาวุธปืนข่มขู่ และเกือบทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้งก่อนจะกลายเป็นข่าว 2) ข่าวฆ่ากันตาย 35.7% เกิดในคู่สามี-ภรรยามากที่สุดถึง 43% 3) ข่าวฆ่าตัวตาย 19.6% แบ่งเป็นผู้ชาย 65.7% ผู้หญิง 31.9% และ LGBTQ+ 2.4% 4) ความรุนแรงทางเพศที่กระทำกับคนในครอบครัว 4.2% มีทั้งที่เกิดระหว่างญาติ พ่อเลี้ยงกระทำกับลูกเลี้ยง ที่น่าตกใจคือ พ่อทำกับลูกแท้ ๆ มากถึง 23.9% และ 5) ความรุนแรงในครอบครัวอื่นๆ (เช่น ขู่เผาบ้าน ทำลายข้าวของ ยิงปืนข่มขู่ บังคับให้ยุติการตั้งครรภ์ และสามีไม่รับผิดชอบบุตร เป็นต้น) 0.6% และในภาพรวม พบว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีปัจจัยกระตุ้นจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 29.1% และจากยาเสพติด 26.1% บ่งชี้ว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมีความซับซ้อนมากขึ้น
“ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวนับวันจะร้ายแรงมากขึ้น โดยเฉพาะข่าวการฆ่ากันตาย เมื่อดูข้อมูลเฉลี่ย 4 ปี ระหว่างปี 2563 ถึง 2566 พบว่าเป็นการฆ่ากันในคู่สามี-ภรรยาสูงเป็นอันดับหนึ่ง เฉลี่ย 45.9% ของข่าวฆ่ากันทั้งหมด ซึ่งเป็นสถานการณ์ความรุนแรงและการสูญเสียที่น่ากังวล ดังนั้น การมีกฎหมายที่มุ่งเน้นการคุ้มครองผู้ถูกกระทำ และมีกลไกที่จะหยุดยั้งผู้กระทำความรุนแรงได้จริง จะมีส่วนสำคัญที่จะนำไปสู่การลดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้” นางสาวอังคณา กล่าว
นางสาวธารารัตน์ ปัญญา ทนายความและผู้ก่อตั้งองค์กร Feminist Legal Support กล่าวว่า พ.ร.บ. ความรุนแรงในครอบครัวฉบับปัจจุบันที่ใช้บังคับมาตั้งแต่ปี 2550 ยังไม่สามารถคุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวได้จริง เพราะมุ่งเน้นไปที่การรักษาสถาบันครอบครัวมากกว่าการคุ้มครองสิทธิและความปลอดภัยของสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำร้าย และในทางปฏิบัติ กฎหมายดังกล่าวมีผลทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจและศาล มักผลักให้คู่กรณีต้องไกล่เกลี่ยหรือยอมความกัน แทนที่จะดำเนินการทางอาญากับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ทำให้ผู้ถูกกระทำรุนแรงจำนวนมากต้องกลับไปเผชิญความรุนแรงซ้ำๆ และไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
“การที่ พ.ร.บ. ปี 2550 กำหนดอัตราโทษความรุนแรงในครอบครัวไว้ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับการกระทำผิดลักษณะเดียวกันในประมวลกฎหมายอาญา และมุ่งเน้นการไกล่เกลี่ยให้ยอมความกัน ยิ่งตอกย้ำทัศนคติของคนในสังคมและเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายว่าความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องเบา ๆ เป็นเรื่องลิ้นกับฟัน จึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายจริงจัง ในฐานะทนายที่ทำคดีทั้งความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศ เราอยากเห็นกฎหมายวางหลักปฏิบัติสำคัญ ๆ ที่ยังขาดหายอยู่หลายด้าน เช่น การสอบปากคำพยานผู้เสียหายต้องกระทำอย่างระมัดระวัง มีความละเอียดอ่อน เคารพสิทธิ ความเป็นส่วนตัว และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เสียหาย เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายต้องได้รับผลกระทบทางจิตใจหรือเผชิญความรุนแรงซ้ำจากกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งอยากให้กฎหมายกำหนดให้มีกลไก case manager และการทำงานแบบสหวิชาชีพที่ชัดเจนในกรณีปัญหาความรุนแรง เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้เสียหายจะได้รับการช่วยเหลือคุ้มครองอย่างรอบด้าน ต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ” นางสาวธารารัตน์ กล่าว
ดร. วราภรณ์ แช่มสนิท เลขาธิการสมาคมเพศวิถีศึกษา ในฐานะผู้เชิญชวนเสนอกฎหมาย กล่าวว่า เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ ได้ร่วมกันจัดทำร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวฉบับภาคประชาชนขึ้น เพื่ออุดช่องว่างต่าง ๆ ที่มีอยู่ในกฎหมายปัจจุบัน “กฎหมายภาคประชาชนมีเจตนารมณ์ชัดเจนในการคุ้มครองผู้ถูกกระทำ โดยถือเอาความปลอดภัยของผู้ถูกกระทำเป็นสิ่งสำคัญ เราเน้นย้ำว่ากฎหมายต้องไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวลอยนวล แต่ต้องได้รับโทษตามฐานความผิดในประมวลกฎหมายอาญา การยอมความต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายและความประสงค์ของผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ ร่างกฎหมายภาคประชาชนยังกำหนดให้รัฐต้องพัฒนากลไกช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรงให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้นด้วย
“จากจุดแข็งของร่างกฎหมายภาคประชาชน ทำให้มีผู้ร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายฉบับนี้ถึง 26,729 รายชื่อ และวันนี้ ทางเครือข่ายฯ ได้นำร่างกฎหมายพร้อมรายชื่อดังกล่าวมายื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้กฎหมายของภาคประชาชนได้เข้าสู่การกระบวนการนิติบัญญัติและผ่านออกมาบังคับใช้ เราคาดหวังว่าทั้งสมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่กำลังจะแถลงนโยบาย จะให้ความสำคัญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและเร่งแก้ไขกฎหมายให้คุ้มครองผู้ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัวได้อย่างแท้จริง” ดร. วราภรณ์ กล่าว