ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ กาลอวสาน "โจ๊ก" ใกล้เข้ามา หลังบอร์ดป.ป.ช. มติเอกฉันท์ "ไต่สวน" 5 เจ้าหน้าที่ ช่วยรับคดีพนันออนไลน์ โดยมิชอบ !?
เรียกว่าต้องอย่ากระพริบตา!
เมื่อล่าสุด (22 ก.ย.68) ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ ให้ตั้งคณะกรรมการ "ไต่สวน" เจ้าหน้าที่ป.ป.ช. 5 ราย หลังพบพิรุธ ร่วมกันช่วยเหลือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตรอง ผบ.ตร. ให้นำคดีพนันออนไลน์ เข้ามาอยู่ในมือป.ป.ช. แทนที่จะปล่อยให้ตำรวจดำเนินการตามปกติ
ว่ากันว่า เรื่องนี้จากพฤติการณ์ที่ต้องสงสัยก็คือ เดิมพนักงานสอบสวนส่ง "คดีมินนี่" หรือ สาวน้อยร้อยเว็บ ที่มีความสนิทสนมกับตำรวจใกล้ตัว "โจ๊ก" มาครั้งแรก มติป.ป.ช.เสียงข้างมาก ให้ส่งเรื่องคืนพนักงานสอบสวน มี "สุภา ปิยะจิตติ" กรรมการป.ป.ช. ขณะนั้น เป็นเสียงข้างน้อย ที่ให้รับคดีไว้ดำเนินการ ซึ่งเมื่อผลออกมาไม่น่าพอใจ ฟังว่า "สุภา" ถึงขั้น walk out ไม่พอใจมติ
ต่อมาเมื่อ วันที่ 27 ธันวาคม 2566 ป.ป.ช.ทำหนังสือในคดีเข้า เพื่อเพิ่มผู้ต้องหาคือ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” กระบวนการสั่งการเป็นโดยรวดเร็ว เพื่อออกเลขรับโดย "สุภา" เห็นชอบในวันสุดท้าย ก่อนที่ตัวเองพ้นตำแหน่ง 11 มกราคม 2567
ประเด็นนี้ เมื่อคดีเรื่องเดียวกันมีเลขซ้ำกัน ซึ่งผิดระเบียบที่ต้องให้คณะป.ป.ช.เห็นชอบก่อน แต่ประธาน ป.ป.ช.ซึ่งขณะนั้นคือ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ แทนที่จะยกเลิกคำสั่งรับเรื่อง แต่กลับเอาเรื่องมารวมกัน แล้วลงมติใหม่แล้วรับคดี “สุรเชษฐ์”เข้าสู่การตรวจสอบของป.ป.ช. แต่มติครั้งนี้ "สุชาติ ตระกูลเกษมสุข" เป็นเสียงข้างน้อยคนเดียว ที่เห็นว่าให้ส่งคดีคืนให้ตำรวจ
นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เคลื่อนไหว รวบรวมและยื่น 20,000 ชื่อ ถอดถอน “สุชาติ”
ดังนั้น เรื่องนี้ดูเผินๆ เหมือนแค่เจ้าหน้าที่พลั้งเผลอ แค่ผิดระเบียบ แต่จริงๆคือ เจตนาร่วมกันทำเป็นขบวนการ เพื่อทำให้ “คดีมินนี่” ที่เชื่อมโยง “โจ๊กและพวก” เข้ามาอยู่ในอำนาจ ป.ป.ช.
ฟังว่า เจ้าหน้าที่ป.ป.ช. 5 ราย ประกอบด้วย ผอ.สำนัก 2 คน, นิติกร 2 คน, พนักงานไต่สวนระดับสูง 1 คน
มีการโยงชื่อ “สุภา ปิยะจิตติ” อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่เซ็นเห็นชอบรับเรื่องวันสุดท้ายก่อนพ้นตำแหน่ง 11 ม.ค.67 แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 45 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งสำนักงานคดีปราบปราบการทุจริตการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 49 ได้กำหนดวิธีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ และการดำเนินคดีกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ ดังนี้ "สุภา" จึงไม่อยู่ในการ "ไต่สวน" ครั้งนี้
ส่วนผลการไต่สวนจะเป็นอย่างไร ก็ต้องติดตามกันต่อไป
เอาเป็นว่า งานนี้ ถึงบางอ้อกันเป็นแถว ที่ว่าทำไมช่วงนี้เห็นหน้า "บิ๊กโจ๊ก" กลับมาออกสื่อถี่ขึ้น หลังจากที่เงียบหายไปนาน
เจ้าตัวออกมางวดนี้ เพื่อให้อยู่ในแสง และดิ้นสุดฤทธิ์ เล่นตามบท "โดนกลั่นแกล้ง" ดักคอฟ้องประชาชนไว้ก่อน
คำตอบชัด เพราะคดีที่เคยถูกกันไว้ในรั้วป.ป.ช. อยู่ใน "เซฟโซน" เหมือน โจ๊กจะรู้ล่วงหน้าถูกจับพิรุธ และ"ไต่สวน" ชะตากรรมย่อมไม่ดีแน่
หากคดีนี้ถูกส่งกลับไปที่ตำรวจ เหมือนมติที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก ไม่ต้องคาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้น คงได้เห็นกาลอวสาน ของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย.. นะครับนะ!
++ รู้จัก“บิ๊กเฟื่อง”แม่ทัพเรือคนใหม่ ในวิกฤตชายแดนไทย-เขมร ที่เริ่มลามจากบก ลงทะเล
เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน “บิ๊กแมว” พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. จะอำลาชีวิตราชการ ก็เลยจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน
สื่อมวลชน ที่ ห้องชมวัง อาคารราชนาวิกสภา เมื่อวานนี้ (23ก.ย.) นัยว่าเพื่อเป็นการแสดง “น้ำใจ” ที่ได้ร่วมงานกันมาด้วยดี
โอกาสนี้ “บิ๊กแมว” ก็ได้พา “บิ๊กเฟื่อง” พลเรือเอกไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสนาธิการทหารเรือ ที่กำลังจะขึ้นเป็น ผบ.ทร. คนใหม่ พร้อมภริยา มาเปิดตัวกับสื่อด้วย เพื่อสร้างความคุ้นเคย และร่วมงานกันในช่วง 1 ปีข้างหน้า
อันดับแรก พวกนักข่าวถามว่า “พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์” มีเชื่อเล่นว่าอะไร ... ว่าที่ ผบ.ทบ.ก็ปล่อยมุกว่า ไม่มีชื่อเล่น แต่ในช่วงที่เรียนที่ “สามสมอ” บังเอิญมีชื่อไพโรจน์ 2 คน อีกคนที่หล่อกว่า จึงได้สิทธิ์ใช้ชื่อ “โรจน์” ไป ตนเองเลยก็ต้องใช้คำแรกของนามสกุล มาเป็นชื่อเล่น เพื่อนจึงเรียกว่า “เฟื่อง” แต่ถ้าเรียกว่า “โรจน์” ก็หันนะ
“พล.ร.อ.ไพโรจน์” เรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 โรงเรียนนายเรือ รุ่นที่ 81 และเสนาธิการทหารเรือ รุ่นที่ 58
จบหลักสูตร Joint Command and Staff วิทยาลัยเสนาธิการทหาร สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ , หลักสูตรปริญญาโท สาขา Maritime Policy มหาวิทยาลัยวูลลองกอง เครือรัฐออสเตรเลีย, วิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ 42 และ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63
ส่วนชีวิตราชการในฐานะ “ลูกประดู่” ผ่านการเป็น ผู้อำนวยการกองแผน กรมยุทธการทหารเรือ , ผู้อำนวยการกองการฝึก กรมยุทธการทหารเรือ , ผู้อำนวยการกองยุทธการ กรมยุทธการทหารเรือ, รองผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารเรือ, รองผู้อำนวยการสำนักกิจการความมั่นคง กรมยุทธการทหารเรือ
จากนั้นไปเป็น ผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ กลับมาเป็น รองเจ้ากรมข่าวทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย, รองเจ้ากรมข่าวทหารเรือ , เจ้ากรมข่าวทหารเรือ ,รองเสนาธิการทหารเรือ และ เสนาธิการทหารเรือ เป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนขึ้นตำแหน่งสูงสุด เป็น ผู้บัญชาการทหารเรือ
แม้ตำแหน่งในช่วงหลังนี้ จะอยู่กับงานด้านการข่าว และสายเสนาธิการ แต่ “บิ๊กเฟื่อง” ก็เคยอยู่หน่วยรบ อยู่เรือรบ หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน รวมทั้งเคยอยู่หน่วยรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง (นรข.) อีกหลายปี
เรียกได้ว่า เป็นแม่ทัพ ที่ครบเครื่องทั้ง บุ๋น-บู๊
ซึ่งน่าจะสอดรับกับภารกิจ ที่กำลังเป็นประเด็นร้อน รอการจัดการอยู่ตอนนี้ คือชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจ.จันทบุรี ตราด โดยกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ซึ่งอยู่ภายใต้กำกับการของกองทัพเรือ ระบุว่าขณะนี้ เขมรได้รุกล้ำเขตแดนมาถึง 17จุด
จุดใหญ่ที่สำคัญคือ ที่บ้านท่าเส้น อ.เมืองฯ จ.ตราด ซึ่งฝั่งตรงข้าม คือบ้านทมอดา ต.เวียงเวล อ.เวียงเวล จ.โพธิสัต มีนายทุนกัมพูชา จับมือกับนายทุนจีน สร้างบ่อนกาสิโน สร้างเมืองใหญ่โต รุกล้ำเขตแดนไทยอยู่
กำลังรอการตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรกับบ่อนกาสิโน ที่ล้ำเขตแดนไทย
นี่ยังไม่รวมถึงปัญหา MOU 44 ที่ฝ่ายกัมพูชาลากเส้นไหล่ทวีป โดยไม่ยึดตามหลักกติกาสากล ผ่ากลางเกาะกูดของไทย แล้วอ่างว่า แหล่งก๊าซธรรมชาติในบริเวณนั้น อยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ต้องแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านๆมา ไม่มีทีท่าว่าจะยกเลิก MOU 44 ทั้งที่รู้ว่าทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบ
ขณะเดียวกันก็มีแต่รอจังหวะ โอกาส ที่จะเจรจาแบ่งผลประโยชน์ 50-50 กับเขมร
ต้องติดตามและให้กำลังใจ “บิ๊กเฟื่อง” ใช้ความเด็ดขาด จัดการกับปัญหาเหล่านี้ เพื่อรักษาผลประโยชน์ และอธิไตยของไทย