xs
xsm
sm
md
lg

นับถอยหลังยุบสภา กระแส กระสุนเข้าทางภท.!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่าจะต้องรอการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 1-2 ตุลาคม และรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังไม่ได้เข้าบริหาร แต่กลายเป็นว่าเริ่ม “นับถอยหลังยุบสภา” กันแล้ว เพราะอย่างที่รับรู้กันแล้วว่า รัฐบาลชุดนี้มีเวลาเพียงแค่ 4 เดือน โดยก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ย้ำว่าจะไม่มีเกิน 121 วันเป็นอันขาด ซึ่งในความเป็นจริงก็ย่อมหมายว่าการยุบสภาน่าจะต้องเกิดขึ้นก่อนเวลาดังกล่าว

ดังนั้นเมื่อมีสัญญาณชัดแบบนี้มันก็ทำให้เริ่มไหลเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ขณะเดียวกันสำหรับรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่เวลานี้ถือว่า “เนื้อหอม” มากกว่าใคร เพราะหากสังเกตจะเห็นว่ามีความเคลื่อนไหวการ “ไหลเข้า” ของบรรดา “บ้านใหญ่ บ้านเล็ก” ประดังกันเข้ามาหลายจังหวัด หลายกลุ่มก๊วนการเมือง เข้ามาทุกภาค ล่าสุดมีการทยอยเปิดตัวในภาคใต้ ที่เรียกว่าเป็นการฉวยจังหวะที่ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ รวมไปถึงพรรคพลังประชารัฐที่กำลังเกิดอาการรวนอย่างหนัก บางพรรคอาจถึงขึ้นแตกสลายในไม่ช้า

วกมาที่การยุบสภาที่คาดว่าจะต้องเกิดขึ้นก่อน 4 เดือน ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากอารมณ์ “แค้นฝังหุ่น” จากพรรคเพื่อไทย ที่ไม่มีทางจะให้พรรคภูมิใจไทย คู่แข่งใหม่ได้ “ยืนระยะ” หรืออยู่เป็นสุข เป็นอันขาด อีกทั้งยังมีพรรคประชาชน ที่คอยข่มขู่คุกคามอยู่ตลอดเวลา เพื่อบีบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พวกเขาต้องการ

อย่างไรก็ดี การได้เป็นรัฐบาล ถืออำนาจรัฐอยู่ในมือ แถมยังมีอำนาจเต็มแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะสร้างความจดจำกับชาวบ้าน และโดยเฉพาะอย่างสำหรับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มาแบบ “ไม่คาดหมาย” แบบนี้ สามารถนำมาต่อยอด ทำให้พรรคภูมิใจไทยขึ้นมาต่อกรกับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนได้อย่างเข้มข้นและสูสี จากพรรคขนาดกลางกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่ในช่วงการเลือกตั้งครั้งหน้าค่อนข้างแน่

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้กุมอำนาจรัฐอย่างเต็มที่แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ และต่อเนื่องไปถึงช่วงรักษาการ ย่อมมีความได้เปรียบ และยังสามารถดึง “กลุ่มทุน” ให้เบนเข็มมาทางนี้มากมาย เพราะเล็งเห็นถึงอนาคตข้างหน้า และอย่างที่รับรู้กันว่าเมื่อเป็นรัฐบาลสั้นๆ ย่อมไม่อาจสร้างผลงานระยะยาว หรืองานนโยบายหลักๆ ไม่อาจทำเรื่องใหญ่ได้ทัน แต่สามารถ “สร้างการับรู้” ให้กับชาวบ้านได้ เช่น นโยบาย “คนละครึ่ง” ที่ต่อยอดมาจาก “รัฐบาลลุงตู่” ที่ชาวบ้านชื่นชอบ และนอกเหนือจะเป็นนโยบายที่ใช้แล้วได้ผล กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนได้ดีแล้ว สิ่งนี้คือสร้างคะแนนนิยมในระยะเวลาจำกัดได้ดี ทำได้ทันที

อีกเรื่องที่เริ่มเห็นว่า นายอนุทิน ฉวยจังหวะเล่นกับ “กระแสชาตินิยม”ได้ดีกับการที่ไม่ลังเลมอบอำนาจให้กับกองทัพจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ได้อย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันไม่มีการเปิดด่านเป็นอันขาด สิ่งเหล่านี้ย่อมได้ใจชาวบ้านที่กลายเป็นกระแส และรัฐบาลย่อมได้ใจประชาชน แค่สองเรื่องหลักๆ แค่นี้ ส่วนเรื่องอื่นๆก็ว่าไปตามน้ำในช่วงรักษาการกันไป

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องระวังก็ย่อมมีเหมือนกันก็คือ “กระแสยี้” ที่อาจขยายวงทั้งจากที่เห็นรายชื่อรัฐมนตรีบางตำแหน่ง ที่มองว่าเป็น “บุรีรัมย์โมเดล” เพราะเชื่อมโยงกับคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคม กรณี “เขากระโดง” คดี “ฮั้ว ส.ว.” สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภาพลบ หากกระแสติดลบตั้งแต่เริ่มมันก็สลัดออกได้ลำบาก และจะมีผลไปถึงวันเลือกตั้ง และแน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยจะต้องตามจิกอย่างไม่ยอมปล่อย เหมือนกับที่นักวิจารณ์การเมืองอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ได้คาดว่า นับตั้งแต่นายอนุทิน แถลงนโยบายย่อมถูกฝ่ายแค้นฝังหุ่นอย่างพรรคเพื่อไทยรุมถล่มอย่างหนัก เพื่อทำลายคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งใหม่

“ช่วงเวลาไปถึง 4 เดือนนั้น รัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับแรงแค้นฝังหุ่นจากพรรคเพื่อไทยหนักหน่วง ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติการถล่มตั้งแต่นายอนุทินแถลงนโยบายรัฐบาล ขณะเดียวกันพรรคประชาชนย่อมวิจารณ์นโยบายรัฐบาลอย่างเต็มที่เพื่อเปิดพื้นที่ฝ่ายค้านเช่นกัน” นายจตุพร ระบุ

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญหลังจากแถลงนโยบายแล้ว ฝ่ายค้านโดยพรรคเพื่อไทยคงยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจขย่มนายอนุทินอย่างเต็มที่ ดังนั้น สถานการณ์การเมืองช่วง 4 เดือน จึงต้องจัดเต็มกันเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและสกัด สส. ไม่ให้โกลาหลย้ายออกจากพรรคหาสังกัดใหม่ในการเตรียมตัวเลือกตั้งครั้งใหม่

“พรรคภูมิใจไทยมีเดิมพันกับอนาคตการเมืองข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ถ้ามีปัญหาขึ้น อาจมีการยุบสภาก่อน 4 เดือนก็ได้ เพื่อเก็บเกี่ยวความนิยมทางการเมืองไว้ไปสู่การเลือกตั้ง”

นายจตุพร กล่าวว่า หลักการเป็นรัฐบาลนั้น ต้องคิดเสมอว่าทุกวันคือการทำงานวันสุดท้ายจึงต้องทำงานกันเต็มที่ ดังนั้น นายอนุทินต้องไม่คิดที่จะอยู่ยาว เพราะจะเกิดอุบัติเหตุการเมืองอย่างคาดไม่ถึง สิ่งสำคัญการทำงานเต็มที่นั้น จะทำให้เกิดผลไปสู่การซื้ออนาคต ดังนั้น นายอนุทิน ย่อมไม่กล้าจะอยู่เกินกว่า 4 เดือน โดยเฉพาะเวลาไปถึง 4 เดือน จะถูกพรรคเพื่อไทยแค้นฝังหุ่นฟาดฟันทั้งในสภาและทำนิติสงครามย้อนรอยเช่นกัน

หากพิจารณาจากบรยากาศ “ส้มหล่น” ในเวลานี้ ก็ต้องบอกว่าทุกอย่างแทบจะเรียกว่ากำลัง “ไหลเข้าทาง” พรรคภูมิใจไทย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้เกิด “กระแสลบ” แบบฉับพลัน ซึ่งจะว่าไปแล้วถือว่ามี “ความเสี่ยงสูงมาก” เช่นเดียวกัน ทั้งจากกรณี “รัฐมนตรีบุรีรัมย์โมเดล” รวมไปถึงรัฐมนตรี “ยี้” ที่ได้รับ “ต่างตอบแทน” จากหลายกลุ่มก๊วนการเมืองที่มาสนับสนุนให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกันการยุบสภาก่อนกำหนด หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับได้สร้างกระแสในทางบวกรับการเลือกตั้ง เพราะไหนๆเวลาแค่ 4 เดือนไม่อาจสร้างผลงานในด้านนโยบายอะไรได้อยู่แล้ว นอกเหนือจากการต่อยอดเลือกเอาเฉพาะเด่นๆมาทำทันที เช่น “คนละครึ่ง” รวมไปถึงตามน้ำไปกับกระแส “ฮีโร่กองทัพ” ในเรื่องชายแดนกัมพูชา แบบจัดเต็มในทุกเรื่องราว ก็ย่อมได้ใจ ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ว่าพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่พรรคประชาชนก็คงเล่นกระแสแบบนี้ไม่ได้ เพราะติดภาพลบก่อนหน้านี้เข้าไปเต็มๆ

ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันว่าจะมีการยุบสภาหลังจากรัฐบาลบริหารไปได้แค่ 1-2 เดือนก็เป็นไปได้มาก อีกทั้งการยุบสภาก่อนแบบนี้ยังทำให้บรรดา ส.ส.หลายคน รวมไปถึง “บ้านใหญ่” เตรียมย้ายพรรคได้ง่ายขึ้น เพราะการยุบสภาตามกฎหมาย ส.ส.สามารถหาสังกัดใหม่ได้ภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องรอ 90 วันเหมือนกับกรณีอยู่ครบวาระ ทุกอย่างมันถึงเข้าทาง เพียงแต่ว่าระวัง “ยี้” เป็นพิษก็แล้วกัน และมีความเสี่ยงสูงเสียด้วยซี !!



กำลังโหลดความคิดเห็น