xs
xsm
sm
md
lg

กฤษฎีกา ปิดช่อง กรมป่าไม้ หาประโยชน์กับไม้มีค่า ที่ “นายทุนหัวหมอ!” ปลูกในพื้นที่ป่าสงวนฯ ในกรณีจับกุมใครไม่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กฤษฏีกา ปิดช่อง กรมป่าไม้ หาประโยชน์กับไม้มีค่า “ยางพารา ยูคาลิปตัส ปาล์มน้ำมัน” ที่ “นายทุนหัวหมอ!” ปลูกในพื้นที่ป่าสงวนฯ ยันกฎหมายไม่ระบุให้ยึดเป็นของกลางได้ เป็นได้แค่พยานหลักฐาน ในกรณีจับกุมใครไม่ได้ ให้ “อัยการ” สั่งฟ้องเป็นคดี ย้ำ “กรมป่าไม้” มีแค่อำนาจ “รื้อถอนตัดฟัน” ไม่มีสิทธินำไปขายทอดตลาด หรือไปใช้จ่ายช่วยเหลือ แม้มีการสูญเสียจากการเข้าจับกุม ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน “เท่านั้น”

วันนี้ (22 ก.ย.) มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ลงนามในบันทึกเรื่องเสร็จที่ 1133/2568 ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 7 (การเงิน การคลัง และวิธีการงบประมาณ ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม)

ตามข้อหารือของ กรมป่าไม้ ว่าด้วยการเข้าดําเนินการกับไม้ยางพารา ยูคาลิปตัส และปาล์มน้ำมัน ที่มีผู้นํามาปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ จะใช้อํานาจรื้อถอน ตามมาตรา 25 (3) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ได้หรือไม่

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) มีความเห็นในประเด็นนี้ ว่า ไม้ที่มีผู้ลักลอบนําเข้ามาปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ โดยฝ่าฝืนมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป่าไม้ พ.ศ. 2484

และมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจตามมาตรา 26/1 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ยึดต้นไม้ดังกล่าวไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี โดยถือเป็นของกลางในคดีอาญาหรือไม่

เห็นว่า คําว่า “ของกลาง” นั้น ประมวลกฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มิได้กําหนดบทนิยามไว้

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติ ที่เกี่ยวข้องจะเห็นได้ว่า เป็นคําที่มีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้เป็น พยานหลักฐานในการดําเนินคดีเพื่อพิสูจน์การกระทําความผิด

ตามมาตรา 85 วรรคหนึ่ง มาตรา 131 และมาตรา 230 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และทรัพย์สิน ที่อยู่ในข่ายที่ต้องถูกศาลสั่งริบ อันเนื่องมาจากเป็นทรัพย์สินที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ว่าผู้ใดทําหรือมีไว้เป็นความผิด

ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้ เพื่อใช้ในการกระทําความผิด ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทําความผิดหรือทรัพย์สิน ซึ่งได้ให้เพื่อจูงใจบุคคลให้กระทําความผิด หรือเพื่อเป็นรางวัลในการที่บุคคลได้กระทํา ความผิด ตามมาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

เมื่อกรณีที่ขอหารือนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่พบตัวผู้กระทําความผิด จึงเป็นกรณีที่ไม่สามารถนํา หรือคุมตัวผู้กระทําความผิดมาดําเนินคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

“ต้นไม้ดังกล่าว จึงไม่มีสถานะเป็นของกลางในการดําเนินคดีอาญา แต่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในขั้นตอนการดําเนินการของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ เพื่อแสดงว่ามีการกระทําความผิดเกิดขึ้นในคดีที่ไม่ปรากฏว่า ผู้ใดเป็นผู้กระทําความผิดได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 140 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา”

สําหรับปัญหาที่ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ มีอํานาจยึดไม้ ที่ผู้กระทําผิดได้ลักลอบปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ได้หรือไม่ นั้น

เห็นว่า ไม้ยืนต้นที่ปลูกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ใช่ไม้ หรือทรัพย์สินที่บุคคลได้มา หรือได้ใช้ในการกระทําความผิด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้ใช้ ในการกระทําความผิด หรือเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ

เนื่องจากป่าสงวนแห่งชาติ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของอันเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ ตามมาตรา 143 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามนัยความเห็น ของกฤษฎีกา (คณะที่ 7) ในเรื่องเสร็จที่ 698/2550 เมื่อไม้ยืนต้นที่ปลูกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นทรัพย์ที่ไม่อาจอ้างความเป็นเจ้าของได้ ประกอบกับมิใช่ของกลางในคดีอาญา

ดังนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่อาจใช้อํานาจยึดต้นไม้ดังกล่าวไว้ตามมาตรา 26/1 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ได้ “ไม่ว่าจะมีผู้กระทําความผิด หรือไม่มีผู้กระทําความผิดก็ตาม”

ประเด็นที่สอง กรณีไม้ในพื้นที่ตรวจยึด จะดําเนินคดีตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ เป็นของกลางในคดีอาญา และพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้ใช้อํานาจตามมาตรา 25 (3) แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ เข้ารื้อถอนตัดฟันแล้ว

กรมป่าไม้ สามารถจัดการไม้ที่ได้จากการรื้อถอนตัดฟันดังกล่าว ตามข้อ 7 แห่งระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยการปฏิบัติเกี่ยวกับของกลาง ในคดีความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้ฯ ได้หรือไม่

เห็นว่า บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หน้าที่ และอํานาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีที่มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น ได้กําหนดให้อํานาจพนักงานเจ้าหน้าที่ ในสองลักษณะ

กล่าวคือ ลักษณะที่หนึ่ง การใช้อํานาจในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งเป็นการใช้อํานาจในทางปกครองตามมาตรา 25

และลักษณะที่สอง การใช้อํานาจในฐานะพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็น การใช้อํานาจในทางอาญากับผู้กระทําผิด ตามมาตรา 26 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ

เมื่อกรณีที่ขอหารือนี้ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีผู้นําไม้มีค่า เข้ามาปลูกในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ

พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติ จึงใช้อํานาจ รื้อถอนต้นไม้ดังกล่าว อันเป็นการใช้อํานาจทางปกครองของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 25 (3) แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ

ประกอบกับเมื่อได้วินิจฉัยในประเด็นที่หนึ่งแล้วว่า “ต้นไม้ดังกล่าว ไม่มีสถานะเป็นของกลางในทางอาญา กรณีจึง “ไม่อาจ” นําระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่าด้วยการปฏิบัติเกี่ยวกับของกลางในคดีความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้ฯ มาใช้ แก่กรณีที่ขอหารือนี้ได้”

ประเด็นที่สาม กรณีที่ไม้มีค่าในพื้นที่ตรวจยึด ดําเนินคดีตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ไม่เป็นของกลางในคดีอาญาและพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้ใช้อํานาจตามมาตรา 25 (3) แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯเข้ารื้อถอนตัดฟันแล้ว

กรมป่าไม้ สามารถจัดการไม้ ที่ได้จากการรื้อถอนตัดฟันดังกล่าว ตามระเบียบและกฎหมายใดเพื่อให้ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐ และพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถนําไม้มีค่า ที่ได้จากการรื้อถอนตัดฟันตามมาตรา 25 (3) ดังกล่าว ออกขายทอดตลาด หรือขายโดยวิธีอื่น

เพื่อนําเงินมาชดใช้ค่าใช้จ่ายที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้เสียไปในการเข้าดําเนินการรื้อถอนตัดฟัน โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 25 (3) วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ขายได้หรือไม่

เห็นว่า มาตรา 25 (3) เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับอํานาจของพนักงานเจ้าหน้าที่และการดําเนินการ กับทรัพย์สินที่ได้มาจากการใช้อํานาจของพนักงานเจ้าหน้าที่

ดังนั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้รื้อถอน ไม้มีค่า โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 25 (3) และมิได้มีการดําเนินคดีทางอาญา เนื่องจากไม่พบตัวผู้กระทําความผิด กรณีจึงต้องดําเนินการกับทรัพย์สินตามวิธีการ ที่กําหนดไว้ในมาตรา 25 (3) วรรคสอง

กล่าวคือ เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ยึด ทําลาย รื้อถอน แก้ไข หรือ ทําประการอื่น กับไม้ที่ปลูกโดยฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถนําไม้ที่ได้จากการดําเนินการนั้น “ออกขายทอดตลาด หรือขายโดยวิธีอื่นตามที่เห็นสมควร”

และเมื่อกรมป่าไม้ ได้รับเงินจากการขายไม้ดังกล่าวแล้ว “ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน” โดยส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังบัญชีที่ 1 หรือส่งคลังจังหวัดหรือคลังอําเภอ โดยไม่หักไว้เพื่อการใดๆ

ทั้งนี้ ตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และมาตรา 34 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

ประเด็นที่สี่ กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ ได้ใช้อํานาจตามมาตรา 25 (3) แห่งพ.ร.บ.ป่าสงวนฯ เข้ารื้อถอนตัดฟันไม้มีค่า และได้นําไม้ ออกขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่นแล้ว

กรมป่าไม้ สามารถนําเงินที่ได้จากการ ขายไม้ดังกล่าวไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางราชการของกรมป่าไม้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปราม การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกเสียหายให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติ ดั้งเดิม

หรือค่าใช้จ่ายในภารกิจอื่นๆ ของกรมป่าไม้ ได้หรือไม่ หรือจะต้องนําเงินทั้งหมดที่ได้จาก การขายไม้ดังกล่าวส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

เห็นว่า เมื่อได้ให้ความเห็นในประเด็นที่สามแล้วว่า เงินที่กรมป่าไม้ ได้รับจากการขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีการอื่นตามมาตรา 25 (3) วรรคสอง ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน กรณีจึงไม่จําต้องให้ความเห็นในประเด็นนี้อีก

อนึ่ง คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 7) มีข้อสังเกตว่า การใช้อํานาจของพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามมาตรา 25 (3) แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ ในการยึด ทําลาย รื้อถอน แก้ไข หรือทําประการอื่นใดแก่สิ่งที่เป็นอันตรายหรือสิ่งที่ทําให้เสื่อมสภาพในเขตป่าสงวนแห่งชาติ กรณีไม่ปรากฏตัวผู้กระทําผิดหรือรู้ตัวผู้กระทําผิดแต่หาตัวไม่พบ นั้น

“จะต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ในการใช้อํานาจดังกล่าว เพื่อเป็นกรอบในการใช้ดุลพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงชอบที่กรมป่าไม้ จะกําหนดให้มีระเบียบปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวเป็นการเฉพาะ”.


กำลังโหลดความคิดเห็น