วันนี้( 11 ก.ย.)ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจาณาวาระร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2560 เรื่องการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยนายนายปรีดา บุญเพลิง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม เป็นผู้เสนอ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ร่วมกับ สส.พรรคการเมืองอื่นอีกหลายพรรค ที่ประชุมมีมติให้นำร่างพระราชบัญญัติทำนองเดียวกันมาพิจารณาพร้อมกัน
โดยนายปรีดา กล่าวอภิปรายถึงความสำคัญในการปฏิรูประบบการบริหารจัดการด้านการศึกษา โดยได้กล่าวถึงประวัติการจัดตั้งกระทรวงศึกษาธิการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2403 และการพัฒนากฎหมายด้านครูและบุคลากรทางการศึกษาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตั้งแต่การก่อตั้งคุรุสภาในปี พ.ศ. 2488 การจัดตั้งคณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.ศ.) รวมถึงการออกกฎหมายและการแก้ไขพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับครูหลายฉบับ
นายปรีดา กล่าวว่าต่อว่า ที่ผ่านมา การบริหารงานบุคคลครูใช้ระบบไตรภาคี ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการโดยตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนครู ส่งผลให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วม แต่คำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกมาได้สร้างผลกระทบต่อหน่วยงานหลักด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นคุรุสภา ก.ค.ศ. และสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูฯ (สกสค.) จนส่งผลต่อขวัญกำลังใจของครูและคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน
“พรรคกล้าธรรมได้ร่วมกับพรรคการเมืองอื่น ๆ เสนอยกร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. … เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยหวังว่ากฎหมายฉบับใหม่จะช่วยฟื้นฟูหลักการไตรภาคี คืนความเป็นธรรมให้แก่ครู และยกระดับการศึกษาของไทยให้ก้าวทันนานาประเทศ”นายปรีดา ระบุ
ด้านนายสะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.ชลบุรี พรรคกล้าธรรม กล่าวอภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ของนายปรีดาและคณะ โดยย้ำว่าอาชีพครูเปรียบเสมือน “เรือจ้าง” ที่ต้องพาผู้โดยสารไปถึงฝั่งอย่างปลอดภัย การปฏิรูปการศึกษาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในอนาคต
นายสะถิระ กล่าวว่า ประสบการณ์ที่เคยสอนนักเรียนและนักศึกษามากว่า 10 ปี ทำให้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมโลก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระบบการศึกษา ครูจึงต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการ รวมถึงการสนับสนุนบ้านพักข้าราชการและสวัสดิการที่จำเป็น โดยเฉพาะครูที่ต้องย้ายถิ่นฐานมาทำงานต่างพื้นที่ คณะกรรมการคุรุสภาต้องมีผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา เอกชน รวมถึงการศึกษาพิเศษ เพื่อรองรับเยาวชนที่มีความต้องการหลากหลาย และต้องปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีการสอนรูปแบบใหม่ เช่น การเรียนการสอนออนไลน์
นายสะถิระ ยังกล่าวถึงความสำคัญในการยกระดับวิชาชีพครูและมาตรฐานจรรยาบรรณ โดยเปรียบเทียบว่าในอดีตครูได้รับการยกย่องจากสังคม แต่ปัจจุบันกลับถูกแทนที่ด้วย “กูเกิล” และ “ยูทูป” ซึ่งไม่สามารถทดแทนสายตาแห่งความห่วงใยของครูที่มีต่อลูกศิษย์ได้ ทั้งนี้ ตนขอเสนอให้มีการแก้ปัญหาภาระงานที่เกินความจำเป็นของครู เช่น การทำงานธุรการ ซึ่งควรมีเจ้าหน้าที่เฉพาะ เพื่อให้ครูได้ทำหน้าที่หลักคือการสอนอย่างเต็มที่ และเสนอให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ต้องมีความยืดหยุ่นและนำไปใช้ได้จริง
“พ.ร.บ.ฉบับนี้จะช่วยยกระดับวิชาชีพครู คุ้มครองสิทธิ สวัสดิการ และสร้างมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้ครูเป็นเรือจ้างที่สามารถส่งผู้โดยสารถึงฝั่ง และร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป” นายสะถิระ กล่าว
จากนั้นที่ประชุมมีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ ทั้ง 8 ฉบับ และให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาต่อไป