จากกรณี ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีของนักกิจกรรมและประชาชนรวม 5 ราย ได้แก่ นายเอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ และประชาชนอีก 2 คน ที่ถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากกรณีถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในปี 2566 และอัยการโจทก์อุทธรณ์ต่อมาวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 ลงโทษนายเอกชัยจำคุก 21 ปี 4 เดือน จำคุก4คนที่เหลือคนละ 16 ปี โดยไม่รอการลงโทษนั้น จากกรณีนี้มีนักวิชาการและภาคประชาสังคมได้ให้ความเห็นไว้อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะเรื่องสิทธิการประกันตัว มีการนำประเด็นของ “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ มาเป็นกรณีศึกษาให้เห็นถึงผลกระทบ
นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน ได้โพสเฟซบุ๊ค โดยติดแฮชแท็ก #saveตัน#NojusticeNopeace ระบุว่า สิทธิประกันตัวคือสิทธิพื้นฐาน ที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศการขอให้ศาลพิจารณาการประกันตัวจำเลยหรือผู้ต้องขังจึงไม่ใช่การใช้สิทธิเกินสิทธิ ใช้เสรีภาพเกินเสรีภาพ ที่สำคัญการควบคุมตัวจำเลยหรือผู้ต้องขังในเรือนจำ ไม่ใช่แค่ราคาที่รัฐต้องจ่ายเพื่อเลี้ยงดูจำเลยหรือผู้ต้องขังเท่านั่น แต่ยังกินความถึงการศึกษา หน้าที่การงาน แรงงาน ของจำเลยที่ต้องรับผิดชอบ ต้องหล่อเลี้ยงผู้คนอีกหลายชีวิตที่อยู่นอกเรือนจำก็ต้องหยุดชะงักหรือล่มสลายไปกับวันเวลาที่ไม่สามารถใช้สิทธิพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ได้ ณ วันนี้สังคมไม่ทราบแน่ชัดว่าจำนวนจำเลยหรือผู้ต้องขังในเรือนจำทั้งประเทศที่ไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวมีจำนวนเท่าไหร่ ? รายได้ที่มาจากแรงงานของจำเลยหรือผู้ต้องขังที่หายไป ราคาที่ครอบครัวต้องจ่าย รัฐต้องจ่ายเพื่อจำเลยหรือผู้ต้องขังมากมายมหาศาลเท่าไหร่ ?
“นั่นหมายความว่าปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับจำเลยหรือผู้ต้องขังไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจก ระดับครอบครัว เท่านั้น แต่มันเป็นปัญหาระดับสังคม ระดับชาติ สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ไม่ถูกใช้ยังกระทบต่อความไม่ศรัทธาของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรมด้วย และการปล่อยให้ความไม่ศรัทธาถูกตอกลิ่มให้ลึกลงๆ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ขณะที่รัฐมีการแถลงนโยบายต่อประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อขอจัดสรรงบประมาณภายใต้ภารกิจกระบวนการยุติธรรมสำหรับจัดซื้อจัดจ้างกำไลข้อเท้าอีเอ็มเพื่อใช้ควบคุมผู้ต้องขังนอกเรือนจำและป้องกันการหลบหนี นั่นหมายความว่าปฏิบัติคู่ขนานโดยการทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญศักดิ์สิทธิ์และการควบคุมตัวจำเลยหรือผู้ต้องขังนอกเรือนจำด้วยกำไลข้อเท้าอีเอ็มสามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ ที่สำคัญนั่นคือทางเลือกที่ลงตัวที่สุด ในฐานะประชาชนจึงเกิดคำถามว่า ทำไมกระบวนการยุติธรรมจึงไม่เลือกใช้ช่องทางนี้”นางทิชา ระบุ
ด้าน ดร.กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ได้โพสเฟซบุ๊คส่วนตัวเช่นกันระบุว่า ผมไม่รู้จัก "ตัน" เป็นการส่วนตัว แต่ได้อ่านเรื่องของเขาที่หลายคนเขียน ทำให้เห็นถึงคุณค่าของเขาที่มีต่อสังคมมาก แต่กลับถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม เลยประมวลข้อมูลมาสื่อสารถึงทุกคนช่วยส่งพลังใจถึงเขา และส่งเสียงถึงสังคมให้เรียกร้องความเป็นธรรมคืนมา ตัน สุรนาถ แป้นประเสริฐ ผู้ชายธรรมดาที่ทำสิ่งไม่ธรรมดาเพื่อสังคม เขาไม่ได้เป็นเพียงชื่อที่กำลังถูกพูดถึงในข่าวคดีการเมือง แต่สำหรับคนที่รู้จักเขา ตันคือเด็กหนุ่มจากชุมชนวัดโพธิ์เรียง บางกอกน้อย ผู้เติบโตมากับเสียงหัวเราะของเพื่อนบ้าน กลิ่นหอมของครัวเรือนริมคลอง และการสืบทอดหัวใจเพื่อชุมชนจากพ่อนายนรินทร์ ประธานชุมชนที่ลูก ๆ รู้จักในฐานะ คนที่ไม่เคยหยุดทำเพื่อบ้านเมือง ตันเลือกเดินตามรอยพ่อ เขาไม่ได้ใช้ชีวิตวัยหนุ่มไปกับการไขว่คว้าความสำเร็จส่วนตัว แต่ทุ่มเทกับการเปลี่ยนพื้นที่สีเทาให้กลายเป็นพื้นที่สีสดใส ตั้งแต่การริเริ่ม “บางกอกนี้ดีจัง” ใน 17 ชุมชนย่านบางกอกน้อย–บางกอกใหญ่ ไปจนถึงการขยายเป็นเครือข่าย “บางกอกกำลังดี” ที่รวมพลังได้กว่า 50 ชุมชนในกรุงเทพฯ
สิ่งที่ทำให้ตันเป็นที่รัก ไม่ใช่แค่ผลงาน แต่คือวิธีที่เขา ทำให้เห็น เขาสื่อสารด้วยการลงมือ ไม่ใช่เพียงคำพูด เขายิ้มง่าย ยิ้มที่ทำให้โลกดูสดใสกว่าที่เป็นจริง และยิ้มที่บอกกับเด็ก ๆ ว่า พวกเธอมีคุณค่า ตันคือคนที่พร้อมจะเป็น ลมใต้ปีก อยู่ข้าง ๆ ให้กำลังใจ และหนุนงานหนักของใครอีกหลายคน เขาคือคนที่เมื่ออยู่ด้วยแล้ว ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว เด็กและเยาวชนหลายคนเลิกยาเสพติดเพราะแรงบันดาลใจจากเขา หลายชุมชนเปลี่ยนจากพื้นที่เสี่ยงเป็นพื้นที่สร้างสรรค์เพราะความมุ่งมั่นของเขา แต่วันนี้ ความเงียบงันเข้ามาแทนที่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของตัน เขาถูกตัดสินจำคุก 16 ปี จากเหตุการณ์ที่เขาไม่ได้ตั้งใจเข้าไปเกี่ยวข้อง หลายคนที่รักและรู้จักเขาได้แต่ตั้งคำถามว่า ทำไมคนที่ใช้ชีวิตเพื่อชุมชน ต้องถูกพรากไปด้วยข้อหาที่เขาไม่ได้ก่อ?
“คำพิพากษาในวันนี้ ไม่ได้เพียงทำร้ายตัน แต่ยังพรากความหวังของเด็กและเยาวชนที่เขาคอยหนุนเสริม พรากพลังของชุมชนที่เขาใช้ทั้งชีวิตบ่มเพาะ ถึงแม้ตันจะถูกกักขัง แต่เสียงของผู้คนที่รักเขายังคงดังต่อเนื่อง ตันเป็นคนดีของสังคม ตันคือแรงบันดาลใจ ตันไม่ควรถูกจองจำเสียงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่ได้เดินคนเดียว และงานที่เขาทำยังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของหลายชุมชน เขาคือผู้ชายธรรมดาที่เลือกใช้ชีวิตเพื่อทำสิ่งไม่ธรรมดา สร้างความหวังให้ชุมชน และโอบอุ้มเยาวชนให้มีเส้นทางชีวิตที่ดีกว่าเดิม การจองจำเขาไม่สามารถลบล้างสิ่งดีที่เขาทำมาได้ และไม่ควรพรากคนเช่นนี้ไปจากสังคม #saveตัน #saveสุรนาถ” ดร.กฤษฎา ระบุ
ด้านนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ได้กล่าวถึงกรณีนี้ในเฟซบุ๊คของตัวเองว่า คดี 110 ขบวนเสด็จ ศาลชั้นต้นยกฟ้องขาดว่าจำเลยไม่ได้ทำอะไร แค่ไปอยู่บริเวณที่ขบวนเสด็จผ่านเฉยๆ แต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษหนักจำคุก 21 ปีบ้าง 16 ปีบ้าง อย่างน้อยศาลควรจะให้ประกันตัวก่อนเพื่อให้เขามีสิทธิยื่นฎีกา ไม่ใช่แค่ทำเหมือนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดแล้ว อย่าว่าแต่จำเลยที่ต้องติดคุก แค่ศาลชั้นต้น ที่เป็นคนนั่งพิจารณาและฟังการเบิกความของพยานทั้งหมดเองก็ยังไม่เห็นด้วยเลย
นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว ได้โพสเฟซบุ๊คส่วนตัวเช่นกันระบุว่า หลายปีก่อน ผมกระโดดขึ้นรถตำรวจไปกับตัน วันที่ตันต้องเดินทางจากสน.ดุสิต ไปยัง ตชด. แถวปทุม แล้วผมก็ไม่ได้เจอน้องอีกเลยหลังจากนั้น มีเพียงทนายที่ได้เยี่ยมและฝากของเล็กๆน้อยๆเข้าไปให้มาบอกเล่าสถานการณ์กับพวกเรา ตันโดนคดีจากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 และถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จ ตันเป็นคนเดียวในบรรดา 5 คนที่โดนคดีด้วยกัน แต่ถูกย้ายมาคุมขังในห้องขังเดี่ยว ที่เรือนจำบางขวาง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นสถานจองจำสำหรับคดีหนักๆ จำได้ว่าตันอยู่ที่นี่สิบกว่าวัน จึงย้ายกลับมาที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หลังจากนั้นไม่นานตันก็ได้ประกันตัว และยังคงทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาโดยตลอดมิได้พักหรือห่างหายไปจากเส้นทางนี้ ต่อมาในปี 2566 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ล่าสุดหลังอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี เป็นผลให้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาในวันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา โดยศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาชั้นต้น เป็นลงโทษจำคุกหนึ่งในห้าคน 21 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยอีกสี่คนรวมถึงตัน สุรนาถ จำคุกคนละ 16 ปี ไม่รอลงอาญา
“ตัน คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน ก้าวพ้นจากหลุมดำของยาเสพติดมาได้ด้วยการโอบอุ้มของครอบครัว ชุมชนและเครือข่าย และได้นำประสบการณ์ ชีวติที่พลาดผิดนั้นมาสร้างการเรียนรู้ เป็นอุทาหรณ์ให้กับเยาวชนนับครั้งไม่ถ้วน ในทางส่วนตัว และส่วนรวม สังคม ชุมชน ผมผูกพันกับบ้านนี้มาตั้งแต่พ่อ แม่ และลูกชายทั้งสามคนรวมถึงตันด้วย ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง เราทำงานเพื่อสังคมมาด้วยกันอย่างเข้มข้นในหลายๆประเด็น ทั้งเรื่องปัญหายาเสพติด คนติดเหล้า ปัญหาเด็ก เยาวชน ความรุนแรงในครอบครัว พื้นที่สร้างสรรค์ พื้นที่ดีจัง ช่วยชุมชนช่วงโควิด-19 และงานล่าสุดคืองานเชื่อมร้อยชุมชนใน กทม.ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนให้มีตัวตนและสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน ซึ่งผลผลิตจากสิ่งที่ตันได้ทำมันจับต้องได้ มีผู้คน ชุมชน เด็กและเยาวชนจำนวนมากที่ได้รับดอกผลและไม่มันไม่ควรต้องสะดุดหยุดลง ตราบใดคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด ตันและคนอื่นๆควรได้รับสิทธิประกันตัวออกมาสู้คดี และทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป ส่งพลังใจให้ตันและครอบครัว พวกเราจะไม่ทิ้งกัน เชื่อว่าความยุติธรรมยังคงมีอยู่แม้เราจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม ยังคงรอวันนั้น” นายชูวิทย์ ระบุ