ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “แม้ว” ยอมกลับเข้าคุก สำนึกผิด หรือแค่กลยุทธ์
ในที่สุด “ทักษิณ ชินวัตร” ก็ต้องกลับเข้าคุกแบบที่เรียกว่าคุกจริงๆเสียที ไม่ใช่ “คุกทิพย์” แบบที่ผ่านมา
คำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ออกมาเมื่อวาน (9ก.ย.) ฟันธงชัดๆ ว่า ข้ออ้างที่ว่า “ทักษิณ” ป่วยหนักขั้นวิกฤต จนอยู่ในเรือนจำหรือรพ.ราชทัณฑ์ไม่ได้ ต้องไปอยู่ห้องวีไอพี ชั้น 14 รพ.ตำรวจนั้น เป็นแค่ “ป่วยทิพย์” ด้วยพิรุธมากมายที่ทำให้โดนจับโป๊ะ
ก็เป็นอันว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องกลับสู่สถานะ“นักโทษเด็ดขาดชาย” อีกครั้ง โดยถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนย้ายไปที่เรือนจำคลองเปรม
การกลับมารับโทษของ “ทักษิณ” คราวนี้ ถือว่าหักปากกานักวิเคราะห์หลายสาย ที่คาดการณ์ในทำนองว่า “ทักษิณ” จะหนี ถ้าคำตัดสินออกมาไม่เป็นคุณแก่ตัวเอง
แต่ยังก็มีคำถามว่า ที่ยอมกลับเข้าคุกแต่โดยดีรอบนี้ เป็นเพราะกลับตัวกลับใจเป็นเสือสำนึกบาป ที่ตัวเองเคยใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาเปรียบคนอื่นมาทั้งชีวิต
หรือนี่จะเป็นแค่กลยุทธ์ หลังจากโดนครหา “ติดคุกทิพย์” มาตลอด 2 ปี ชนิดที่ทำอย่างไรก็ลบล้างไม่ออกเสียที จึงต้องใช้กลยุทธ์ ตามตำนานนกฟินิกซ์ ที่เมื่อล่วงรู้ชะตากรรมของตัวเอง ก็ยอมให้ไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน เพื่อฟื้นชีพกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้ง
เมื่อวาน หลังจากที่ศาลมีคำสั่งให้ “ทักษิณ” กลับเข้าคุกอีกครั้ง “แพทองธาร ชินวัตร” อดีตนายกฯในฐานะลูกสาวคนเล็ก แถลงต่อนักข่าวที่หน้าศาลฎีกาทันที บอกว่าสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้พระทานอภัยโทษลดโทษให้ “ทักษิณ” เหลือ 1 ปี จาก 8 ปี
แถมโอดครวญว่า “พ่อแม้ว” ต้องเผชิญชะตากรรมทางการเมืองและกฎหมายต่างๆ มากมาย แต่ก็ยังคงเป็นผู้นำในจิตวิญญาณ ที่มีความมุ่งมั่น และตั้งใจจริงในการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น
พร้อมโฆษณาชวนเชื่อว่า พ่อได้สร้างประวัติศาสตร์สำคัญให้กับประเทศ ผ่านนโยบายที่มีประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมาก ในนามพรรคเพื่อไทย จะยังคงเดินหน้าทำงานต่อไปในบทบาทฝ่ายค้าน เพื่อร่วมผลักดันการแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนต่อไป
ส่วนตัว “ทักษิณ ชินวัตร” เอง ได้ฝากข้อความให้ทีมงานโพสต์ลงโซเชียลฯ หลังศาลมีคำสั่งให้กลับเข้าคุก ซึ่งก็ออกมาในโทนเดียวกันกับคำแถลงของลูกสาว คือ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษ และพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษา
พร้อมกับโฆษณาอ้างสรรพคุณตัวเองว่า ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2544 - 2549 ได้พยายามผลักดันทุกนโยบาย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง
แต่ไม่วาย โบ้ยว่า ทุกคดีที่ทำให้เขาต้องถูกพิพากษาจำคุกในวันนี้ ล้วนเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2549 แต่จะขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ และลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ก่อนลงท้ายว่า แม้จะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิด เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน จะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้
เห็นได้ชัดว่า ยังไม่มีคำว่า“สำนึกผิด” ออกมาจากปากของ “ทักษิณ” แม้แต่คำเดียว!
ก็มองได้ไม่ยากว่า ที่ยอมกลับมาเข้าคุก ไม่ได้หนีทั้งที่มีโอกาสหนีตอนนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปดูไบ ไม่ใช่เพราะว่าสำนึกผิด แต่เป็นเพราะได้มองเกมไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ถ้ากลับมาติดคุก มีแต่ได้กับได้
โทษจำคุก 1 ปีที่ได้รับ อยู่ในคุกจริงๆก็ไม่น่าจะเกิน 4 เดือน หรือราวๆ สิ้นปีนี้ ด้วยเงื่อนไขเป็นผู้ชรา มีอายุเกิน 70 ปี หากมีการพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสสำคัญๆ ก็น่าจะอยู่ในเงื่อนไขได้ด้วย
แล้วจะว่าไป ถึงจะอยู่ในเรือนจำกี่ปี กี่เดือน คนระดับ “ทักษิณ” ก็ไม่มีทางลำบากอยู่แล้ว
มีเสียงแว่ามาว่า ช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ในเรือนจำอันเป็นที่คุมขัง “ทักษิณ” นั้น มีการจัดเตรียม “โครงสร้างพื้นฐาน” ต่างๆ ไว้รอพร้อมเรียบร้อยแล้ว
ว่ากันว่า “ทักษิณ”จะไม่ต้องลำบาก ถือผ้า 3 ผืนไปนอนแออัดรวมกับนักโทษคนอื่นๆ อย่างแน่นอน แต่จะสะดวกสบายพอๆ กับอยู่เพนท์เฮาส์ บนคอนโดหรู จะสั่งเป็ดปักกิ่งมากินยังได้เลย
เรียกว่า “ทักษิณ” ยอมกลับเข้าคุกรอบนี้ มีแต่ได้กับได้
ข้อครหา “ติดคุกทิพย์” หายไปโดยสิ้นเชิง
พอพ้นโทษก็ถึงเวลาเลือกตั้งพอดี จะออกไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย หรือไป สทร.ที่ไหน ก็ทำได้สะดวกใจกว่าเดิม
นักเซ็งลี้ระดับเซียนเหยียบเมฆอย่าง “ทักษิณ” คิดคำนวณแล้วว่าคุ้ม จึงยอมกลับมาติดคุกแต่โดยดี ไม่ได้สำนึกผิดอะไรหรอก!
++ “ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล” ว่าที่รมว.ยุติธรรม คนนี้มี “บุรีรัมย์คอนเนกชัน”
เป็นที่รู้กันว่า ระดับแกนนำของพรรคภูมิใจไทย มีแผลใหญ่ๆ อยู่ 3 แผลที่จะต้องรีบหาทางเยียวยา รักษา
หนึ่ง นั้นคือเรื่องที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ในปัจจุบันถูกคนในตระกูล “ชิดชอบ” ยึดครอง ทำเหมืองหิน ทำสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ ไปหลายร้อยไร่
สอง ถนนสาธารณะ ที่อยู่ในนิคมลำตะคอง จ.นครราชสีมา ถูกเอามาทำเป็นรันเวย์ สำหรับเครื่องบิน ขึ้นลง ให้บริการกระโดดร่มสกายไดรวิ่ง เป็นธุรกิจเสริมของ สนามกอล์ฟ “แรนโช ชานวีร์” ซึ่งชื่อเจ้าของสนามกอล์ฟแห่งนี้ เชื่อมโยงกับครอบครัว “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี
สาม คดี “ฮั้วเลือกสว.” ที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย โดยกันยกแผง
ทั้ง สามเรื่องนี้ กำลังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” ไล่บี้อย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากรัฐบาลออกไปเป็นฝ่ายค้าน
ถ้าจะแก้ไขเยียวยาในสามเรื่อ
ที่เป็นวาระสำคัญ เร่งด่วน ของ “พรรคภูมิใจไทย” ก็ต้องหาคนที่เชื่อมือได้มาเป็น รมว.ยุติธรรม เพราะ “ดีเอสไอ” นั้นเป็นหน่วยงานหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่กับกระทวงยุติธรรม
คนที่จะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ “อนุทิน” อุบไว้นาน จนตอนหลังมีกระแสข่าวว่า “บังซุป” ศุภชัย ใจสมุทร คนของพรรคภูมิใจไทย ที่โดยตำแหน่งแล้วเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แต่บทบาทนั้นหนักไปทา ปะฉะดะ ใครมาแตะอนุทินเป็นไม่ได้
แต่ดูเหมือนว่า“อนุทิน” ก็รู้ว่า ถ้าตั้ง“บังซุป” จะดูเอิกเกริก จนตกเป็นเป้าโจมตี
จึงมีชื่อของ“พล.ต.ท.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล” อดีต รอง ผบช.ภ.3 โผล่ขึ้นมาแทน และเมื่อไปเช็กประวัติก็พบว่า เคยเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์มาก่อน
“พล.ต.ท.ชาญชัย” เป็นเป็นชาว จ.บุรีรัมย์ เกิดเมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2508 เป็นบุตรของนายพิชิต และนางดวงใจ พงษ์พิชิตกุล จบชั้นมัธยมศึกษาที่ ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จากนั้นเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 ต่อด้วย โรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน จ.นครปฐม เป็นนรต. รุ่นที่ 40
นอกจากนั้นยัง เรียนจบปริญญาโท การจัดการภาครัฐ และภาคเอกชน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้กำกับการ รุ่นที่ 58 สถาบันพัฒนาข้าราชการตำรวจ และ หลักสูตรการบริหารตำรวจชั้นสูง รุ่นที่ 41 วิทยาลัยการตำรวจ กองบัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำหรับเส้นทางการรับราชการตำรวจ เริ่มจาก รองสารวัตรสอบสวน สภ.ประทาย จ.นครราชสีมา หลังจากนั้นย้ายไปเป็นรองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองบุรีรัมย์, รองสารวัตรสอบสวน สภ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ , สารวัตรสอบสวน สภ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์
ปี 2542 เป็นสารวัตรสอบสวน หัวหน้าสถานีตำรวจ กิ่งอำเภอแคนดง จ.บุรีรัมย์ ก่อนบ้ายไปเป็น สารวัตร สภ.หนองไม้งาม อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์, เป็นรองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สภ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ , เป็นผู้กำกับการ สภ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ก่อนย้ายไปเป็นผู้กำกับการ สภ.สตึก จ.บุรีรัมย์, เป็น ผู้กำกับการ สภ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
ปี 2558 ได้เลื่อนยศเป็น “พ.ต.อ.พิเศษ” เป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ , ปี 2562 ขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ , ปี 2564 ย้ายไปเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์
ตำแหน่งสุดท้าย เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 โดยได้ลาออกจากราชการก่อนเกษียณ (เออร์ลี่ รีไทร์) มีผลตั้งแต่ วันที่ 1 เม.ย.2568 ได้ครองยศ พล.ต.ท.
แทบจะตลอดชีวิตราชการ วนเวียนอยู่ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ มาโดยตลอด จนขึ้นเป็น ผู้การบุรีรัมย์ และปิดท้ายด้วย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค3
แล้วอย่างนี้จะไม่เรียกว่าเป็นรัฐมนตรี “บุรีรัมย์คอนเนกชัน” ได้อย่างไร
หลังจากนี้ก็คงต้องติดตามผลงาน ว่าจะสามารถ “ปัดเป่า” 3 เรื่องร้อน ของแกนนำพรรคภูมิใจไทยได้ฉับไวแค่ไหน