เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้สั่งบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร โดยให้เป็นไปตามหมายจำคุก เป็นเวลา 1 ปี โดยเห็นว่าที่ผ่านมาเป็นการบังคับโทษจำคุกโดยมิชอบ ซึ่งความหมายก็คือ ให้กลับไปรับโทษในเรือนจำ เป็นเวลา 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
ในเอกสารของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เผยแพร่คำสั่งศาลตอนหนึ่งว่า ข้อเท็จจริง จึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจําคุกจําเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จําเลยทราบข้อเท็จจริง หรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จําเลยมีเพียงโรคประจําตัวซึ่งเป็นโรค เรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จําเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและ สภาวะร่างกายของจําเลยเอง
นอกจากนั้น ยังได้ความว่าจําเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อก และเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทําให้การรักษาตัวจําเลยในโรงพยาบาลตํารวจ ขยายระยะเวลาออกไป จําเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษ กรุงเทพมหานคร จนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่า เป็นการดําเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่มิได้เกิดจากการกระทําของจําเลย เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ มาหักวันคุมขังโทษตามคําพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จําเลยเหลือโทษจําคุกต่อไป อีก ๑ ปี ตามกําหนดโทษตามคําพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทําให้จําเลย ได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจําคุกตามคําพิพากษาต่อไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ แต่หามีผลทําให้การบังคับโทษจําคุกจําเลยสิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษจําเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจําเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนําเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตํารวจ มาหักเป็นวันคุมขังได้ จําเลยจึงต้องรับโทษจําคุกอีก ๑ ปี ตามพระบรมราชโองการ
หลังจากนั้นไม่นาน นายทักษิณ ก็ได้ให้คนใกล้ชิดโพสข้อความแสดงความรู้สึก ความตั้งใจทั้งในปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า โดยเริ่มข้อความ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผม คงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว
ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้
ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2544 - 2549 ผมพยายามผลักดันทุกนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน
แม้ว่าทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของผม เมื่อปี 2549 แต่วันนี้ผมขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวผม
ขอขอบคุณพี่น้องประชาชน ที่ให้การสนับสนุนตลอดมา ขอบคุณนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนมิตรทั้งหลาย ที่เคียงข้างกันทั้งในยามสุขและยามยาก ผมตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์ และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง
จากวันนี้ แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้
หากพิจารณาจากความเป็นจริง จากข้อความของ นายทักษิณ ดังกล่าว เหมือนกับว่าเขารับรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องกลับเข้าคุกจริง และหวังว่าทุกคดีที่เคยมีจะสิ้นสุดลง แต่ย้ำว่าจะยังทำงานเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ต่อไป และที่สำคัญเน้นย้ำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอยู่หัว
แม้ว่านายทักษิณ จะกลับเข้าคุก โดยโทษจำคุกเป็นเวลา 1 ปี แต่ด้วยมีข้อผ่อนผันบางอย่าง สำหรับเขาที่มีอายุมาก คือ 76 ปี ถือว่าเป็น ผู้สูงอายุ ย่อมีข้อยกเว้นบางอย่าง ประกอบกับด้วยสถานะของคนที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ในความเป็นจริงก็คงต้องมี “ความพิเศษ” เหนือนักโทษคนอื่นอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องการติดกำไลอีเอ็ม ซึ่งต้องว่ากันไปตามขั้นตอน
อย่างไรก็ดี ในทางการเมืองสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้ถือว่าเสียหายมาก เป็นความเสียหายที่เกิดมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เขา“พลาด” จากการที่ครั้งแรกไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว กลับใช้วิธีการ “ตุกติก” ใช้เล่ห์เหลี่ยม แบบไม่เกรงใจใคร ไม่เกรงกฎหมาย เพราะการ“ป่วยทิพย์” อยู่บนชั้น 14 ต่อเนื่องกันนาน 6 เดือน ถือว่าเป็นการท้าทายกฎหมาย เป็นการทำลายความหมายของคำว่า “คนเท่ากัน” ที่คนไทย โดยเฉพาะในยุคนี้ให้ความสำคัญมาก ดังนั้น การทำตัวเป็น “อภิสิทธิ์ชน” ย่อมต้องถูกประณาม และเหยียดหยามจากสังคมตลอดเวลา
ตรงกันข้ามหากตอนนั้น เขายอมเดินเข้าคุกอย่างสง่าผ่าเผย เพราะการได้รับพระราชทานอภัยโทษจากโทษจำคุก 8 ปี เหลือแค่ 1 ปี ถือว่าไม่นาน และด้วยสถานะแบบเขา รับรองได้ว่า เขาจะต้องกลายเป็น “นักโทษกิตติมศักดิ์” และยังเชื่อว่าเพียงไม่กี่วัน เขาก็จะได้ออกมาควบคุมตัวนอกเรือนจำอยู่แล้ว และตอนนั้นเขาก็กลายเป็นฮีโร่ มีแต่คนยกย่อง
ประกอบกับเป็นช่วง “ขาลง” ทำอะไรก็ฟื้นยาก เมื่อรัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาว ผลงานไม่เข้าตาประชาชน ล้มเหลวทุกเรื่อง และเมื่อเจอกับ “คลิปอังเคิล” ที่ถูกสังคมชี้หน้าว่า “ขายชาติ” ทุกอย่างมันเลยจบเห่
อย่างไรก็ดี การรับโทษจำคุกของ นายทักษิณ ชินวัตร หากมองในทางการเมืองแล้ว เหมือนกับว่า เขามีเจตนาที่จะรักษาพรรคเพื่อไทยเอาไว้ ในท่ามกลางภาวะที่ถูกมองว่า กำลัง“ตกต่ำ” ที่สุด ดังนั้น เวลานี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะรักษาสภาพความเป็นพรรคการเมืองเอาไว้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าในตอนนั้น เขาก็คงพ้นโทษออกมาแล้วอย่างสมบูรณ์ และทุกคดีที่เคยติดตัวมานาน ก็จะจบลงด้วย
ดังนั้น นาทีนี้เหมือนกับว่า การเข้าคุกของ นายทักษิณ ชินวัตร ทางหนึ่งเหมือนกับการส่งสัญญาณให้ทุกคนและฝ่ายสนับสนุนพรรคเพื่อไทยว่ายังไม่ไปไหน และพร้อมแสดงบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งคราวหน้าที่จะเริ่มในอีกไม่กี่เดือน และเชื่อว่าหลังจากที่เขาออกจากคุกมาบัญชาการอีกรอบ แต่ถึงอย่างไรเวลานี้ “ศรัทธา” มันตกต่ำสุดๆแล้ว ฟื้นยาก !!