ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “แม้ว” ส่อไปแล้วไปลับ หวั่นอภัยโทษโมฆะ ต้องติดคุก 8 ปี
ยังต้องลุ้นว่าจะกลับหรือไม่กลับ สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร” หลังจากนั่งเครื่องบินส่วนตัวบินออกนอกประเทศ แจ้งเจ้าหน้าที่ ตม.ว่าจะไปสิงคโปร์ แต่สับขาหลอก ไปลงจอดที่นครดูไบ ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร
ถึงแม้เจ้าตัวจะยืนยันผ่าน X (ทวิตเตอร์) ก่อนเครื่องลงจอดที่ปลายทาง เมื่อคืนวันที่ 4 ก.ย. และยืนยันอีกครั้งผ่านทางโทรศัพท์ถึงคนใกล้ชิดเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ว่า จะเดินทางกลับไทยในวันที่ 8 ก.ย. เพื่อมาฟังคำสั่งศาล คดีชั้น 14 ในวันที่ 9 ก.ย.นี้อย่างแน่นอน
แต่จากพฤติกรรมในอดีต บวกข้อพิรุธหลายๆอย่าง มันส่อว่า การนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปดูไบครั้งนี้ เป็นแผนที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่เหตุเพราะไปไม่ทันเวลาที่สนามบินเอกชนในสิงคโปร์ปิดตอน 4 ทุ่มอย่างแน่นอน
เอาตั้งแต่ข้อแรกเลย ที่อ้างว่า โดนตม.ที่ดอนเมืองกักไว้นาน 2 ชั่วโมง จนไปไม่ทันเวลาสนามบินเซเลเตอร์ ที่สิงคโปร์ปิดตอน 4 ทุ่ม เลยต้องเปลี่ยนจุดหมายไปที่นครดูไบแทน ก็มีคำถามว่า แล้วทำไมไม่ไปสนามบินชางงี ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อพิรุธต่อมา ตามปกติเครื่องบินจะเติมน้ำมันไว้ให้พอดีกับระยะการเดินทาง ไม่เติมเต็มถังเผื่อไว้ เพราะถ้าน้ำมันเหลือในถังเยอะ ตอนลงจอดจะเสี่ยงอันตราย เหมือนบรรทุกถังระเบิด หากเครื่องกระแทกพื้น จะเกิดระเบิดไฟลุกท่วมได้
เพราะฉะนั้น ระยะทางจากกรุงเทพฯ - สิงคโปร์ ราวๆ 1,400 กิโลเมตร ก็ต้องเติมน้ำมันให้พอดี ตามระยะทางนี้ แต่เครื่องบินส่วนตัวของ “ทักษิณ”สามารถบินจากกรุงเทพฯ ไปดูไบ ระยะทางประมาณ 4,900 กิโลเมตร มากกว่ากัน 3 เท่า ก็แสดงว่าได้เตรียมการที่จะไปดูไบตั้งแต่แรกแล้ว
แล้วยังมีข้อสงสัยอีกว่า ตอนจะขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง ทีแรกทำไมบอกจะไปหัวหิน แถมบอกว่าผู้โดยสารมีแค่ 3 คน แต่กลายเป็น 5 คน แล้วมีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” โผล่มาด้วย
ส่วนข้ออ้างเรื่องไปหาหมอ ก็มีคำถามว่า ทำไมต้องไปที่สิงคโปร์ หรือดูไบ เพราะโรคที่เป็นก็เป็นโรคผู้สูงอายุทั่วไป หมอในไทย หรือหมอจากโรงพยาบาลพระรามเก้า ที่ครอบครัวชินวัตรเป็นเจ้าของ ก็น่าจะรักษาได้ แล้วในความเป็นจริง พวกบรรดาเศรษฐีดูไบต่างหากที่บินมารักษาตัวที่เมืองไทย
.
พฤติกรรมในอดีตที่ “ทักษิณ ชินวัตร” มักจะพูดอย่างทำอย่าง เช่น ตอนปี 2551 ทักษิณ บอกจะไปดูกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง แล้วก็เบี้ยวศาลหลบหนีหน้าตาเฉย ก็ช่วยไม่ได้ที่คนจำนวนมากไม่เชื่อว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ไปดูไบรอบนี้จะกลับมาไทยเพื่อฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 ก.ย.
กระแสข่าวจากคนใกล้ชิดของทักษิณ แพลมออกมาว่า คดี “ชั้น 14” ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำสั่งในวันที่ 9 ก.ย.นี้นั้น ทำให้ทักษิณเกิดอาการหวาดผวาพอสมควร
โดยประเมินว่ามีโอกาสจะเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด นั่นก็คือศาลจะถือว่าการพระราชทานอภัยโทษลดโทษเป็นโมฆะ เพราะฉะนั้นโทษที่ลดแล้วเหลือจําคุก 1 ปี ให้กลับไปเป็น 8 ปีตามคำพิพากษาเหมือนเดิม
อันเป็นผลจาก “ทักษิณ” ใช้ข้าทาสบริวารจัดการส่งให้ตัวเองไปเสวยสุขที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตํารวจ นานถึง 6 เดือน โดยไม่ยอมเข้าไปนอนในเรือนจําแม้แต่คืนเดียว
เพราะฉะนั้น จึงเผ่นหนีไปดูไบเพื่อตั้งหลักก่อน รอให้มีคําตัดสินของศาลออกมา แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะหนีแบบถาวร หรือค่อยย้อนกลับมาอีกที
ซึ่งหาก “ทักษิณ” ไม่ไปศาลในวันที่ 9 ก.ย.ศาลก็สามารถอ่านคำสั่งลับหลังได้
แนวโน้มคำสั่งที่ออกมา หากประเมินจากมติของแพทยสภาที่สั่งลงโทษแพทย์ผู้เกี่ยวข้องกับการส่งตัว “ทักษิณ” ไปชั้น 14 และพิรุธอีกหลายๆ ข้อ ก็น่าจะชัดเจนว่า กระบวนการส่งตัว “นักโทษเทวดา” ไป รพ.ตำรวจนั้น ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ถือว่าการบังคับโทษไม่เป็นไปตามคำพิพากษา
ก็ต้องมาลุ้นต่อว่า ศาลจะมีคำสั่งเรื่องการบังคับโทษใหม่ออกมาแบบไหน หากให้กลับไปติดคุก 1 ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษแล้ว “ทักษิณ” อาจจะพิจารณายอมกลับมารับโทษ
แต่ถ้าหากศาลมีคำสั่งว่า การได้ลดโทษนั้นเป็นโมฆะ เพราะเหตุที่ “ทักษิณ” ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ต้องกลับไปติดคุก 8 ปีเต็ม “ทักษิณ” จะอยู่ดูไบแบบถาวร ไม่กลับมาอีกเลย
กระแสข่าวบอกว่า “ทักษิณ” ได้ประเมิน “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” ไว้ก่อน นั่นคือ การลดโทษเป็นโมฆะ และจะต้องติดคุก 8 ปีเต็ม
การไปดูไบครั้งนี้จึงเตรียมพร้อม ให้ทั้งบอดี้การ์ดประจําตัวซึ่งเป็นอดีตหน่วยซีล และแม่ครัวคู่ใจ ขึ้นเครื่องไปด้วย
ที่ต้องประเมิน “ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด” ไว้ก่อน ก็เพราะ “ทักษิณ” รู้สึกว่าตนเองโดนเทไปเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่ลูกสาว ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าผิดจริยธรรมร้ายแรงอันเนื่องมาจากการคุยโทรศัพท์ กับฮุนเซน ที่ทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ต้องตกจากเก้าอี้นายกฯ
แถมมาแพ้เกมการเมืองให้กับพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนอย่างย่อยยับ ตอนจัดตั้งรัฐบาลอีก
เมื่อตระหนักแน่แก่ใจว่าถูกเทแล้ว “หนี” จึงเป็นสุดยอดกลยุทธ์
เว้นแต่ว่าจะเปลี่ยนใจ เพราะเกิดสำนึกบาปขึ้นมาได้เท่านั้น.
++ “ผู้กองนัส” ยอมเปิดทางให้ “บิ๊กณัฐ” นั่ง รมว.กลาโหม!?
หลัง“อนุทิน ชาญวีรกูล” ทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 เมื่อวานนี้ (7 ก.ย.) ก็ได้เผยถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี “อนุทิน1” ว่าเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ได้ 99.9725 เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือเพียงการขยับปรับเปลี่ยนเล็กน้อยก็ลงตัว
ตำแหน่งที่ผู้คนให้ความสนใจ แต่ยังมีการอุบไว้อยู่ คือตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ว่าใครจะมานั่ง เพราะทั้งตัวนายกฯ และแกนนำพรรคภูมิใจไทย มีบ่วงคล้องคอในคดีใหญ่ “ฮั้วเลือกสว.” อยู่ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็อยู่ใต้การกำกับของ รมว.ยุติธรรม
อีกตำแหน่งหนึ่ง คือ “รมว.กลาโหม” อยากรู้ว่า ใครจะมาดูแลด้านความมั่นคง มาแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จะแก้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือ จะมานั่งทับปัญหาไว้ชั่วคราว
มีชื่อ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม กับ “บิ๊กณัฐ” พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกลาโหม ในสาย “บูรพาพยัคฆ์” เป็นตัวแทนของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มานั่งเก้าอี้ตัวนี้
“ผู้กองนัส” ในฐานะทหารเก่า แสดงเจตจำนงว่าต้องการนั่ง รมว.กลาโหม ตั้งแต่ย้ายขั้ว มาหนุน “อนุทิน” เคยลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บ ทรัพย์สินเสียหาย ช่วงสงคราม 5 วัน ไปให้กำลังใจทหารที่ชายแดน และว่ากันว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง “กัน จอมพลัง” ที่เคลื่อนไหวปฏิบัติการมวลชนอยู่ที่ชายแดนในตอนนี้
หากได้เป็น รมว.กลาโหม ก็จะเคลียร์ปัญหาชายแดนให้ชัดเจน พร้อมสนับสนุนกองทัพภาค 2 และกองกำลังสุรนารี ในการสู้ศึกอย่างเต็มที่ เอาให้เด็ดขาดกันไป
ขณะที่มีรายงานข่าวว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ได้เอ่ยปากในวันที่ “อนุทิน” ไปกิน “ข้าวหน้าไก่” ที่บ้านป่ารอยต่อ ว่าพร้อมสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอคุมกระทรวงกลาโหมเอง
เพราะ“ลุงป้อม” เป็น อดีตผบ.ทบ. ทำงานชายแดนไทย-กัมพูชา มาตลอด แต่ด้วยอายุและสภาพร่างกาย คงไม่สามารถลงไปลุยในพื้นที่ได้ จึงขอส่ง “บิ๊กณัฐ” พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ไปนั่งเก้าอี้ตัวนี้แทน
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ถูกโจมตีอย่างหนัก จากคลิปสมัยเป็น รมว.กลาโหม ยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมายอมรับเต็มปาก ว่า พื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว เป็นของกัมพูชา ซึ่งชาวกัมพูชาอยู่มานานแล้ว แต่ตอนนี้กำลังจะขอกลับมา “แก้ปัญหา” บ้านหนองจาน หรือจะมานั่งทับปัญหากันแน่
สำหรับ“พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ”เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่น 20 เป็นเพื่อนร่วมรุ่น “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการ รมช.กลาโหม
ตำแหน่งทางทหารก่อนเกษียณ “บิ๊กณัฐ” เป็นอดีตปลัดกลาโหม เป็นเลขาฯส่วนตัวของ “ลุงป้อม” ที่เติบโตมาใน พล.ร.2 รอ. ชายแดนเขมร แถบพื้นที่ จ.สระแก้ว มาด้วยกัน
คนในวงจรอำนาจ ก็พอจะมองออกว่า “ลุงป้อม” ขอใช้โอกาสนี้ฟื้นความสำคัญของบ้านป่ารอยต่อ และอำนาจ บารมีของ“บูรพาพยัคฆ์”ให้กลับคืนมา
แต่บังเอิญในช่วงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่าง “ลุงป้อม” กับ”ผู้กองนัส” ไม่ค่อยราบรื่นนัก หลังจากมีการแยกตัวออกจากพรรคพลังประชารัฐ ไปตั้ง พรรคกล้าธรรม และดึงสส.ออกไปด้วย สถานการณ์จึงดูเหมือน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก
ขณะที่ “อนุทิน” ได้พูดถึงการตั้ง รมว.กลาโหม ว่าในฐานะที่เป็นนายกฯ จะเป็นคนตั้งเอง และจะไม่แต่งตั้งใครเพราะเกรงใจ เพราะตนเองก็ต้องเกรงใจประชาชนเหมือนกัน
รู้ ๆ กันอยู่ว่า เก้าอี้ รมว.กลาโหม นี้ ไม่ใช่แค่ฝ่ายการเมือง จะตัดสินใจได้เพียงลำพัง แต่ต้องมีการหารือผู้มีบารมีในขั้วอนุรักษ์นิยม และฝ่ายความมั่นคงด้วย
ล่าสุด จึงมีกระแสข่าว รื้อเกลี่ยโผ ครม.กันใหม่ โดย “ผู้กองนัส” จะไปกำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า เมื่อเปิดโผออกมา จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่!