เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดก็ต้องถึงเวลา “นับถอยหลัง” ของจริงกันแล้ว สำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดวันวินิจฉัยคดีที่สมาชิกวุฒิสภา ยื่นคำร้องให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ กรณี “คลิปเสียง” สนทนากับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยศาลได้กำหนดวินิจฉัยวันที่ 29 สิงหาคม
โดยวันที่ 13 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมปรึกษาคดี เรื่องพิจารณาที่ 10/2560 กรณีประธานวุฒิสภาส่งคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 02 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
กรณีสมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคําร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏ คลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับ ฮุน เซน ประธาน วุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2560 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับ ฮุน เซน จริง
แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่า เป็นการพูดคุย ทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคําร้องเห็นว่า ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ หรือกําหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะวิสัยและพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทํา เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว ในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทําตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 02 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย
ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กําหนดนัด ไต่สวนพยานบุคคลจํานวน 2 ปาก คือ ผู้ถูกร้องและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2560 เวลา 10.30 นาฬิกา พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกหากไม่มาตามกําหนดนัด ถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2560
หากไม่ยื่นภายในกําหนด ถือว่าไม่ติดใจยื่น โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2510 เวลา 09.30 นาฬิกา นัดฟังคําวินิจฉัย เวลา 15.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศาลรัฐธรรมนูญจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนและฟังคําวินิจฉัยเป็นรายบุคคล
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญกำหนดวัน เวลา สำหรับการวินิจฉัยคดีที่ถูกร้องเกี่ยวกับการกระทำผิดรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ต้องถือว่าเป็นการ “นับถอยหลัง” อย่างแท้จริง และที่สำคัญเป็นการ “ชี้ชะตาอนาคต” ทางการเมืองของตัวเธอ ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงทั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง “อนาคตของครอบครัวชินวัตร” อีกด้วย
อย่างไรก็ดี หากหากพิจารณากันตามกฎหมาย และจากความเห็นของบรรดากูรูทั้งหลาย ต่างสรุปค่อนข้างตรงกันว่า คดีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่ถูกร้องว่ามีความผิดตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง นั้นน่าจะมีผลออกมา “ในทางลบ” มากกว่าบวกแน่นอน ทางรอดนั้นหากมี ก็น่าจะปาฏิหาริย์เท่านั้น
เวลานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กำลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา และที่ผ่านมาเธอมักจะเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยออกความเห็นในทางการเมืองมากนัก และระยะหลังยิ่งค่อนข้างเก็บตัวกว่าเดิม ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เธอก็ลาประชุมโดยไม่มีการเปิดเผยสาเหตุให้ทราบแต่อย่างใด และเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม เธอจะปรากฏตัวที่รัฐสภา เพื่อเข้าร่วมประชุม ร่าง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 แต่ก็ไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่ยิ้ม และพยักหน้าเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า เธอจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยออกมา เนื่องจากประเมินแล้วว่า “โอกาสรอดนั้นยาก” เต็มที ซึ่งหากนั่งรอชะตากรรม แบบไปลุ้นในแบบที่ไม่ค่อยมีทางรอด ถือว่า “ไม่คุ้ม” เพราะหากผลออกมาในทางลบ นั่นก็เท่ากับว่า “หมดอนาคตทางการเมือง” เพราะอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองแถมเข้ามาด้วย อีกทั้งหากมีความผิดด้านจริยธรรม ก็เท่ากับว่า ทุกอย่างจบเห่ทันที ดังนั้น จึงอาจชิงลาออกเสียก่อน เพื่อที่จะไปต่อทางการเมือง เนื่องจากตัวเธออายุยังน้อย คือยังไม่ถึง 40 ปี
แม้ว่าบรรดาแกนนำในรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า น.ส.แพทองธาร จะไม่ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา แต่เป็นการพูดในลักษณ์ “ความเชื่อ” หรือมั่นใจว่า เธอไม่ลาออกเท่านั้น ไม่ใช่ออกมาในลักษณะที่ว่า “ไม่ลาออก” อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อนับเวลาก่อนถึงวันที่ 29 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดี ก็ยังเหลือเวลาอีกหลายวัน ยังพอมีเวลาในการประเมินสถานการณ์ เปรียบเทียบผลดี ผลเสีย อะไรมากกว่ากัน เพราะสามารถตัดสินใจลาออกก่อนเพียงหนึ่งวัน ก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยคดีก็เป็นไปได้
แน่นอนว่า การลาออกก่อน หรือจะรอลุ้นวินิจฉัยใน วันที่ 29 สิงหาคม ย่อมแตกต่างกันสุดขั้ว เพราะหาก“ชิงลาออกก่อน” ย่อมทำให้ศาลต้องจำหน่ายคดีออกไป และไม่มีอุปสรรคต่ออนาคตทางการเมือง เพราะหากผลการวินิจฉัยออกมาเป็นลบ ย่อมไม่อาจดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีกเลย
แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณา และคำถามตามมาก็คือ เวลานี้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังมี “อนาคต”ทางการเมืองอยู่หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา รับรู้กันดีอยู่แล้วว่า ความไว้วางใจและความเชื่อมั่น ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนแทบจะเรียกว่า “แทบจะติดดิน” แล้ว และยังมองไม่เห็นแนวโน้มจะฟื้นกลับมาได้เลย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากความเชื่อ น่าจะชิงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนที่ศาลจะวินิจฉัย เพื่อรักษา “อนาคต” ทางการเมืองเอาไว้ เรียกว่าไปวัดดวงเอาในอนาคตก็แล้วกัน ขณะเดียวกันก็ส่งต่อตำแหน่งให้กับ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ที่ยังเหลืออยู่ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงและไม่แน่นอนตามมาอีกมากมายก็ตาม แต่หากเอากันแบบเฉพาะหน้า ก็น่าจะออกมาแบบนี้ก่อน!!