วันนี้(26 ก.ค.)นายนพดล พริ้งสกุล รองประธานคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา เปิดเผยถึงการเชื่อมต่อสายสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยโครงข่ายภาคพื้นดินของสายเคเบิลใยแก้วนำแสง โดยระบุว่า มีการลักลอบลากสายเคเบิลใยแก้วนำแสงจากชายแดนเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งอาจถูกใช้เป็นฐานกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้กับขบวนการหลอกลวงประชาชน เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะในพื้นที่แนวชายแดนที่มีจุดเชื่อมโยงถึง 16 จุดกับ 4 ประเทศ ทั้งนี้ จุดเชื่อมต่อดังกล่าวแบ่งเป็น สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 3 จุด สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 4 จุด ราชอาณาจักรกัมพูชา 4 จุด และสาธารณรัฐมาเลเซีย 5 จุด ซึ่งส่วนใหญ่ใช้โครงข่ายภาคพื้นดินแบบสายเคเบิลใยแก้วนำแสงคุณภาพสูง รองรับการใช้งานปริมาณมาก
นายนพดล ระบุว่า จากการลงพื้นที่ของคณะอนุกรรมาธิการฯ ไปยังจังหวัดมุกดาหาร , นครพนม และเชียงราย พบว่า ปัจจุบันหน่วยงานกำกับอย่าง กสทช. ยังมีข้อจำกัดในการตรวจสอบการใช้งานสายสื่อสาร โดยสามารถตรวจสอบได้เฉพาะใบอนุญาตประกอบกิจการเท่านั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าโครงข่ายดังกล่าวถูกนำไปใช้งานหรือให้บุคคลอื่นเช่าช่วงหรือไม่ ขณะที่การพาดสายขึ้นสะพานข้ามแดน ซึ่งอยู่ในความดูแลของแขวงทางหลวง กระทรวงคมนาคม ก็ยังไม่มีระบบตรวจสอบหรือเครื่องมือรองรับ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่อาจมีสายผิดกฎหมายปะปนอยู่โดยไม่สามารถตรวจจับได้ และยังพบสายสื่อสารที่ไม่ได้รับอนุญาต ทาง กสทช. และแขวงทางหลวงก็ไม่สามารถรื้อถอนออกได้ เพราะไม่มีระเบียบหรือกฎหมายให้อำนาจในการดำเนินการ
นายนพดล กล่าวต่อว่า จากปัญหาดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ จึงมีข้อเสนอแนะ 5 ข้อ ได้แก่ 1.กสทช.ควรมีอำนาจตรวจสอบการใช้โครงข่ายและการเช่าช่วง ไม่ใช่แค่การอนุญาต ,2.แขวงทางหลวง ควรมีระบบตรวจสอบสายสื่อสารที่พาดขึ้นสะพานชายแดน, 3.เสนอออกกฎหมายให้อำนาจตัดหรือรื้อถอนสายที่ไม่ได้รับอนุญาต 4.ให้รัฐเป็นผู้ดำเนินการพาดสายข้ามแดน เพื่อความมั่นคงของประเทศ และ 5.ควบคุมระบบไมโครเวฟที่เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้จำกัดทิศทางและความแรง