“สมศักดิ์” สั่ง สธ.รับมือวิกฤตซ้อน เหตุปะทะชายแดน-น้ำท่วมภาคเหนือย้ายผู้ป่วย รพ.พนมดงรัก-กาบเชิง หลังแนวชายแดนไม่ปลอดภัย เรียกประชุม PHEOC ด่วน ส่งทีมจิตแพทย์ MCATT ลงพื้นที่ หวั่นชาวบ้านเครียด-ตื่นตระหนก เร่งสำรองยา-เวชภัณฑ์ครบมือ
วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมวิชาการพัฒนาระบบบริการสุขภาพด้านสังคม กระทรวงสาธารณสุข ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต นายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ที่โรงแรมแกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่นจังหวัดนนทบุรี
โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ความเท่าเทียมและเสมอภาค เป็นความความท้าทายที่สำคัญประการหนึ่งในระบบสาธารณสุขไทย กระทรวงสาธารณสุข จึงกำหนดนโยบายจัดระบบบริการสุขภาพเพื่อกลุ่มเปราะบางและพื้นที่พิเศษ โดยมีหลักการสำคัญ 4 ประการ 1.ความเสมอภาค เป็นหัวใจของการทำงาน เป็นหลักในการพิจารณาโครงการ และจัดสรรงบประมาณ เพื่อลดช่องว่างทางสุขภาพ ทำให้มั่นใจว่า ประชาชนกลุ่มเปราะบาง จะได้รับการดูแลเป็นลำดับแรก 2.การป้องกันเชิงรุกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เราต้องเปลี่ยนบทบาท จากการเป็น “ผู้ซ่อมสุขภาพ” มาเป็น “ผู้สร้างสุขภาพ” ส่งเสริมการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของปัญหา หาทางแก้ไขที่ต้นตอ
“3.บูรณาการอย่างไร้รอยต่อ ปัญหาสังคมมีความซับซ้อน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้จาก การลงนามความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กับกระทรวงยุติธรรมในวันนี้ และ 4.การลงทุนและพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญ ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน กระทรวงสาธารณสุข จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ สร้างขวัญกำลังใจ และดูแลสวัสดิภาพของบุคลากรทุกคน โดยผมขอแสดงความยินดีกับโรงพยาบาลทั้ง 6 แห่ง ที่ได้รับโล่รางวัลพระราชทาน “ศูนย์พึ่งได้ต้นแบบ” ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพด้านสังคม และขอให้พวกเราช่วยกันทำให้แนวคิด ความเสมอภาคเพื่อสุขภาพที่เท่าเทียม ไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่คือเป้าหมาย ที่เราต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นจริงต่อไป” รมว.สาธารณสุข กล่าว
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีพายุวิภาว่า ตนได้รับรายงานจากพื้นที่ภาคเหนือว่า ได้รับความเสียหายคือ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.ลำปาง และ จ.น่าน มี รพ.สต. 3 แห่ง และโรงพยาบาล 4 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเข้าท่วมพื้นที่ โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ จ.น่าน มีโรงพยาบาล ได้รับผลกระทบถึง 2 แห่ง และ รพ.สต. 3 แห่ง ซึ่งหนักกว่าจังหวัดอื่นๆ แต่ขณะนี้ โรงพยาบาล ยังให้บริการประชาชนได้อยู่ แต่ถ้ามีน้ำเพิ่ม ก็อาจจะต้องอพยพผู้ป่วย โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมไว้ทั้งหมดแล้ว รวมถึงทีม MCATT ก็เตรียมลงพื้นที่เยียวยาจิตใจผู้ได้รับผลกระทบด้วย
นายสมศักดิ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมพร้อม และในส่วนของ 2 โรงพยาบาลในพื้นที่ คือ รพ.พนมดงรัก และรพ.กาบเชิง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ก็ได้มีการอพยพผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในเมืองแล้ว โดย รพ.พนมดงรัก มีขนาด 30 เตียง ได้ย้ายผู้ป่วย ไปรพ.อื่น 19 ราย และให้กลับบ้าน 19 ราย ส่วนรพ.กาบเชิง มีขนาด 60 เตียง ได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 56 รายแล้ว รวมถึงตอนนี้ สสจ.สุรินทร์ ได้ประกาศยกระดับภาวะฉุกเฉิน ระดับ 2 แล้ว ซึ่งในสัปดาห์นี้ ถ้ามีเวลา ตนจะไปเยี่ยมในพื้นที่ เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ในเวลา 13.00 น. ตนจะมีการประชุมศูนย์ปฎิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข PHEOC ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสั่งการทั้งเรื่องน้ำท่วม และเหตุปะทะชายแดน
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากเหตุปะทะตนยังได้สั่งการให้จัดทีม MCATT ไปให้บริการจิตวิทยาและการคัดกรองสุขภาพจิตให้กับประชาชนในพื้นที่ ที่อาจอยู่ในภาวะเครียดและตื่นตระหนก ขณะเดียวกันจะเปิดศูนย์ให้คำปรึกษาแบบ Walk-in และออนไลน์ ทั้งนี้ ได้กำชับเรื่องการบริหารทรัพยากรบุคคลให้มีความเหมาะสม ประเมินร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อสนับสนุนงาน ช่วยเหลือด้านการอพยพประชาชนและดูแลศูนย์อพยพ เพื่อให้ประชาชนเกิดความปลอดภัย และให้ติดตามกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องรับยาเพื่อนำส่งยา ให้สำรองเวชภัณฑ์ยาให้เพียงพอเพื่อรับมือสถานการณ์ และพร้อมการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ