รองหัวหน้าพรรคส้ม เตือนดีลภาษีสหรัฐฯ อย่าเปิดตลาดเกินจำเป็น หวั่นกระทบเกษตรกรข้าวโพด 4 แสนราย ซัดอย่าให้จีนสวมสิทธิส่งออกตีตราไทย ชี้ ไทยได้ไม่เกิน 20% เทียบกลุ่มอาเซียน แนะฝ่ายค้านอย่าใช้อภิปราย 152 เปลืองกระสุน หากเนื้อหาไม่ครอบคลุม
วันนี้ (23 ก.ค.) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะประเด็น “ภาษีทรัมป์” ซึ่งรัฐบาลไทยเตรียมส่งข้อเสนอรอบสุดท้ายในวันนี้ ว่า ขณะนี้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ข้อสรุปแล้ว โดย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ได้อัตราภาษีราว 19% เท่าๆ กัน ขณะที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 15% แต่ต้องยอมแลกด้วยการลงทุนในสหรัฐถึง 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
น.ส.ศิริกัญญา ระบุว่า มีแนวโน้มที่ไทยจะได้อัตราภาษีไม่เกิน 20% เช่นเดียวกับประเทศในภูมิภาค แม้จะมีการเจรจาต่อรองจนถึงนาทีสุดท้าย แต่สุดท้ายแล้วต้องรอฟังคำตอบจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้าย ซึ่งการเจรจาไม่ควรแลกสิทธิประโยชน์มากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่หากเปิดเสรีให้นำเข้าจากสหรัฐฯโดยไม่จำกัด จะกระทบเกษตรกรกว่า 400,000 รายทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีรายงานว่าบริษัทอาหารสัตว์รายใหญ่หยุดรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกร แม้จะมีราคาประกันที่ 7 บาทต่อกิโลกรัมก็ตาม
“หากไม่มีมาตรการเยียวยาเพียงพอ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำตอนนี้คือเร่งเตือนเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนพืชที่ปลูก เพราะหากตลาดเปิดเสรีหมด ก็ไม่มีทางแข่งขันได้” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
ส่วนประเด็นการสวมสิทธิ์สินค้าจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ น.ส.ศิริกัญญา ชี้ว่า เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น เพราะสหรัฐฯต้องการแยกห่วงโซ่อุปทานจากจีนอย่างสิ้นเชิง จนอาจถึงขั้นตรวจสอบวัตถุดิบที่ผลิตในจีน และไม่ยอมรับแม้จะเป็นสินค้าแปรรูปในไทย “เราไม่ยอมให้จีนมานุ่งโจงกระเบนแล้วตีตราว่าเป็นสินค้าไทยอยู่แล้ว แต่ความซับซ้อนคือห่วงโซ่อุปทานไทยกับจีนแนบแน่นมาก หากสหรัฐตรวจเข้มขั้นสุด อาจกระทบเศรษฐกิจในประเทศวงกว้าง” เธอกล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทยเตรียมเสนอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 แบบไม่ลงมติเพื่ออภิปรายประเด็นภาษีสหรัฐฯนั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า หากอภิปรายเพียงเรื่องเดียวอาจไม่คุ้มค่า เพราะการอภิปรายแบบนี้ควรใช้ในกรณีที่มีเนื้อหากว้างและครอบคลุมหลายมิติ จึงเสนอว่าหากเป็นเพียงเรื่องภาษีสหรัฐฯ การยื่นญัตติด่วนด้วยวาจาอาจเพียงพอ และควรเก็บมาตรา 152 ไว้ใช้ในโอกาสที่จำเป็นและมีน้ำหนักมากกว่า
“การอภิปรายแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ใช้บ่อยไม่ได้ ต้องเลือกใช้ให้คุ้ม ถ้ามีเนื้อหาแค่เรื่องเดียวแบบนี้ เก็บกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็นดีกว่า” รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าว