สลค.เวียน ข้อสั่งการ "นายกฯ" สั่งการ เจ้ากระทรวง / หัวหน้าส่วนราชการ /หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ทุกราย รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ในทุกกรณี ทั้งเจรจาธุรกิจ ความร่วมมือ ร่วมประชุม สัมมนา หรือ ดูงาน เฉพาะรัฐมนตรี ให้แจ้งกิจกรรม ภารกิจ/ประเด็นที่ต้องดำเนินการ พ่วงกรอบ/เวลา ที่ต้องทำให้เสร็จ ส่วน "ข้าราชการระดับสูง" ให้แจ้งผลเดินทาง-ทำข้อมูลละเอียดยิบ เสนอต่อเจ้าสังกัด ย้ำให้แจ้ง "บัวแก้ว" ด้วย ทุกไฟท์เดินทาง
วันนี้ (7 ธ.ค.2566) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เวียนหนังสือแจ้งถึง ผู้บริหารกระทรวง และทุกกรม ให้ดำเนินการรายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ในทุกกรณี
หนังสือระบุว่า ด้วยในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี (28 พ.ย.2566 ) นายกรัฐมนตรี เสนอว่า เพื่อให้การเดินทางไปราชการต่างประเทศของรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการ/หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ
ทั้งที่ เดินทางไปเจรจาธุรกิจ ความร่วมมือ ร่วมการประชุม สัมมนา หรือดูงาน ตามแต่กรณี ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อองค์กรต้นสังกัด ตลอดจนเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศในภาพรวม
"เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ในกรณีของรัฐมนตรี นอกเหนือจากการจัดทำรายงานผลการเดินทางเสนอต่อนายกรัฐมนตรีแล้ว ขอให้ระบุ กิจกรรม ภารกิจ/ประเด็นต่าง ๆ ที่จะต้องดำเนินการ และกรอบ/กำหนดเวลาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ"
ให้เสนอมาพร้อมกันด้วย เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ในการกำกับติดตามการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้ส่งรายงานผลการเดินทางและข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศ อีกทางหนึ่งด้วย เพื่อใช้ประโยชน์ ในการประสานงานและติดตามการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับกรณีของ "หัวหน้าส่วนราชการ/ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ" ที่เดินทางไปราชการต่างประเทศ ก็ให้รายงานผลการเดินทางและจัดทำข้อมูล เสนอต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด
พร้อมแจ้งไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้ประโยชน์ในทำนองเดียวกันต่อไปด้วย
ก่อนหน้าน้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กำชับให้เจ้ากระทรวงทุกกระทรวง ที่หลายกระทรวงพาทีมงาน ไปดูงานไปติดต่องานต่างประเทศ
นอกจากกลับมาแล้ว ให้มีการรายงานว่า ไปทำอะไรมาบ้าง โดยนายกขอเน้นเรื่องว่า ไปเจรจาแล้วคาดหวังผลอะไร และเมื่อไหร่จะเห็นผลนั้น
“อันนี้ท่านนายกเน้นมาก ท่านใช้คำว่าขอให้ได้ผลลัพธ์คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายที่ได้ใช้ไปในการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้ง” รายงานว่าระบุ
มีรายงานว่า ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ที่ผ่านมา เช่น หลักเกณฑ์การรายงานการไปราชการ การไปร่วมประชุม ศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน ณ ต่างประเทศ และการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย และดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ. 2549
ได้ระบุไว้แล้วว่า เมื่อเสร็จการปฏิบัติราชการในต่างประเทศแล้ว ให้ผู้เดินทางซึ่งเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างต้องเดินทางถึงประเทศไทยในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
ทวีปเอเชีย ให้เดินทางถึงประเทศไทยภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่เสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการ
ประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทวีปยุโรป อเมริกาเหนือ อาฟริกา ให้เดินทางถึงประเทศไทยภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่เสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการ
ทวีปอเมริกาใต้ ให้เดินทางถึงประเทศไทยภายใน 72ชั่วโมง นับแต่เวลาที่เสร็จสิ้นการปฏิบัติราชการ
ระเบียบดังกล่าวระบุว่า เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทย ขอให้ข้าราชการจัดทำบันทึกแจ้ง วันที่เดินทางกลับถึงประเทศ และวันที่รายงานตัวกลับเข้ารับราชการตามปกติ พร้อมแบบรายงานตัวกลับจากต่างประเทศ
เมื่อข้าราชการที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงาน ณ ต่างประเทศ ได้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดรายงานให้ ก.พ. หรือผู้ที่ ก.พ. มอบหมายทราบ
นอกจากนี้ ยังให้ส่งรายงานการไปประชุม ศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน ตามแบบฟอร์มและหลักเกณฑ์การรายงานการไปราชการ การไปร่วมประชุม ศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน ณ ต่างประเทศ
ขณะที่ระเบียบการทำรายงาน ระบุว่า การไปราชการ ไปร่วมประชุม ศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน ณ ต่างประเทศ ให้จัดทำรายงานเสนอ ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง หรือหัวหน้าส่วนราชการ ที่เทียบเท่า ถ้ามีข้อเสนอ ปรับปรุงหรือแนวความคิดใหม่ ๆ ให้สรุปเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณา...
ยังให้กระทรวง ทบวง กรม ส่งรายงานดังกล่าวข้างต้นที่มีลักษณะทางวิชาการไปให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นเอกสารหรือรายงานที่ระบุชั้นความลับไว้” โดยจัดส่งในรูปแบบเอกสารและดิจิตอล (ดิสเก็ตหรือซีดี).