เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้จะเรียกว่า สารพัดม็อบสารพัดชื่อก็ว่าได้ ที่มากันแบบ “รวมการเฉพาะกิจ” เพื่อกดดัน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยอ้างเงื่อนไขดำรงตำแหน่งมาครบ 8 ปี ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 โดยพวกเขาตีความเอาว่า จะครบกำหนดในวันที่ 24 สิงหาคม นี้
ทำให้ม็อบสารพัดชื่อเรียกดังกล่าว รวมตัวสร้างแรงกดดันกันทุกทาง โดยบางกลุ่มก็ประกาศเดินขบวนมาขับไล่ถึงทำเนียบรัฐบาล อย่างไรก็ดี การสร้างแรงกดดันแบบนี้ได้เริ่มดำเนินการมานานนับเดือนแล้ว เพียงแต่ว่ายิ่งใกล้วันที่ 24 สิงหาคม มากเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันมาขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า เร่งดีกรีจนถึงขีดสุดก็แล้วกัน
แต่หากพิจารณากันแบบเข้าใจก็จะรับรู้กันอยู่แล้วว่า กลุ่มม็อบที่ว่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล หรือมีความเคลื่อนไหวไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาโดยตลอด และหากกล่าวกันแบบตรงไปตรงมา ล้วนเป็นกลุ่มมวลชนการเมือง รวมไปถึงเครือข่ายพรรคการเมืองแทบทั้งสิ้น
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะพยายามเร่งแรงกดดันมากแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อเรื่องถึงมือศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แรงกดดันที่ว่านั้นก็จะลดลงจนหยุดนิ่งทันที เพราะต้องรอคำวินิจฉัยชี้ขาดออกมาจากศาล เพราะฝ่ายที่ยื่นให้ศาลพิจารณาก็ล้วนมาจากฝ่ายที่สงสัย หรือจากฝ่ายค้าน รวมไปถึงฝ่ายตรงข้ามกับฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และผู้สนับสนุนนั่นเอง ดังนั้น ก็ต้องรอฟังคำตัดสินเท่านั้น
ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ครบวันไหน ปีไหน ทำได้สองช่องทาง นั่นคือ ผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งมีรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีการนัดประชุมกันในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม ก่อนที่จะส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนอีกช่องทางหนึ่ง ก็เป็นการยื่นของ ส.ส.ผ่านประธานรัฐสภา คือ นายชวน หลีกภัย ซึ่งล่าสุด เขาก็ได้เปิดเผยแล้วว่า ได้ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า ในวันที่ 23 สิงหาคม คำร้องจะนำไปส่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ได้ลงนามไปแล้ว ในวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
ขณะที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ให้ความเห็นกรณี นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นเรื่องให้ศาลตีความประเด็นความเป็นนายกฯ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม วันเดียวกันนี้ (22 ส.ค.) รัฐบาลต้องเตรียมการชี้แจงอย่างไร หรือไม่ ว่า ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้น เพราะยังไม่รู้ว่าศาลจะสั่งให้ชี้แจง หรือไม่ อาจไม่ต้องให้ใครชี้แจง หรือสั่งให้ใครชี้แจง อาจจะเป็นนายกฯ โดยตรง หรือรัฐบาล ซึ่งก็คือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เพื่อความเป็นธรรม เพราะเรื่อง 8 ปี จะเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว ก็คงไม่ใช่ มันต้องเป็นท่าทีของรัฐบาล จึงยังไม่รู้จะเตรียมอะไร แต่คร่าวๆ ในใจมีกันอยู่
ฉะนั้น หากศาลสั่งมาแนวทางไหน ก็พร้อมชี้แจง แต่ขอเวลาหน่อย วันถึงสองวัน เรื่องนี้ไม่เสียเวลาคิด แต่เสียเวลาพิมพ์ เพราะเวลายื่นคำตอบต่อศาล การพิมพ์ต้องใช้เวลา เพราะไม่ใช่นึกจะเขียนอะไรก็เขียนไป มันต้อง 9 ชุด เมื่อถามว่า ข้อมูลในใจคร่าวๆ ที่ว่า คืออะไร นายวิษณุ กล่าวว่า บอกไม่ได้ เดี๋ยวเสียรูปคดี
เมื่อถามว่า กรณีที่ นายชวน ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง กับกรณีที่มีผู้ร้องผ่าน กกต. มีความต่างกันอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่แตกต่าง เป็นเรื่องดีมากที่จะทำอย่างนั้น โดยเฉพาะช่องทาง กกต. จะได้ศึกษาอะไรเพิ่มเติมอย่างรอบคอบ เพราะฝ่ายค้านยื่นในมุมจ้องจะให้ออก ก็มีวิธีให้เหตุผลแบบของเขา
เมื่อถามว่า เมื่อนายชวนยื่นเรื่องไปแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำสั่งรับคำร้องภายในวันที่ 24 ส.ค. เลยหรือไม่ เพราะผู้ร้องมองว่า วันดังกล่าวเลยการดำรงตำแหน่ง 8 ปี นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่ศาล ตนไม่ทราบ ส่วนจะใช้เวลาพิจารณานานหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่ไม่ได้มีผลอะไรเหมือนที่ฝ่ายค้านอธิบายไปแล้วนั้นถูกต้อง เพราะเมื่อ นายชวน ส่งเรื่องไปที่ศาล โดยศาลจะสั่งสองอย่าง คือ ไม่รับคำร้อง กับรับคำร้อง ถ้ารับคำร้องจะมีคำสั่งตามมาว่า รับโดยให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ กับ รับโดยนายกฯไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำพิพากษา
ถ้าให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ก็ปฏิบัติหน้าที่นายกฯแทน คณะรัฐมนตรี ก็อยู่ทำหน้าที่ทั้งหมด ไม่ต้องกลัวอะไรจะโมฆะ ไม่ว่าวันไหนศาลตัดสินว่า พล.อ.ประยุทธ์ พ้นหรือไม่พ้น คณะรัฐมนตรี ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ยังมีอีกตำแหน่ง คือ รมว.กลาโหม ที่ไม่มีข้อกำหนด 8 ปี หากเป็นเช่นนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ก็นั่งเป็นลูกน้อง พล.อ.ประวิตร ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ระหว่างที่ศาลยังไม่มีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ ถ้าถึงที่สุดแล้ว ศาลวินิจฉัยให้พ้น เพราะประเด็น 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังคงรักษาการได้ แต่ควรหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่ง และคิดว่า การหานายกฯใหม่ ไม่น่าจะยากอะไร นายชวน คงรีบดำเนินการใน 3 วัน 7 วัน
เมื่อถามว่า หากมีคำวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากตำแหน่ง แล้วไม่รักษาการต่อ พล.อ.ประวิตร จะทำหน้าที่นายกฯ รักษาการทันทีเลยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็มีวิธีการอยู่ เพราะนายกฯ เคยมีคำสั่งไว้ว่ากรณีไม่อยู่ หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ให้พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนอันดับที่หนึ่ง รองนายกฯ คนอื่นๆ เป็นลำดับถัดๆ ไป โดยไปหยิบคำสั่งดังกล่าวมาใช้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ยึดอำนาจแล้วขึ้นได้เลย
เมื่อถามว่า ที่สุดแล้วหากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง แล้วไม่มีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ถึงที่สุดมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. การดำเนินการระหว่างนั้นของรัฐบาลจะมีผลกระทบอะไร หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า สมบูรณ์ทุกประการ เพราะถ้าคิดง่ายๆ หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยู่ หรือยุบสภา พล.อ.ประยุทธ์ พ้นใช่หรือไม่ แต่คณะรัฐมนตรียังอยู่ใช่หรือไม่ สามารถมีมติคณะรัฐมนตรีได้
นั่นเป็นหลักการ และขั้นตอนทางกฎหมายที่เมื่อมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยข้อสงสัย ที่มีความเห็นต่างกันเพื่อให้ได้ข้อยุติ มันก็ต้องรอฟังว่าผลจะออกมาอย่างไร
ที่ผ่านมา ก็มีการให้ความเห็นออกมาเป็น 3 แนวทาง คือ แนวทางแรก เริ่มนับจากวันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี 24 สิงหาคม 2557 จะสิ้นสุดในวันที่ 23 สิงหาคม 2565
แนวทางที่สอง นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 คือ วันที่ 6 เมษายน 2560 จะครบ 8 ปี ในวันที่ 5 เมษายน 2568
และแนวทางที่สาม นับจากหลังการเลือกตั้ง 2562 ได้รับเลือกจากที่ประชุมรัฐสภา คือ วันที่ 9 มิถุนายน 2562 ระยะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะสิ้นสุดในวันที่ 8 มิถุนายน 2570
แม้ว่าหลายคนจะมีความเห็นของตัวเองอยู่แล้วว่า น่าจะออกมาแบบไหน และยังขึ้นอยู่กับว่าต้องการ “เชียร์” ฝั่งไหนอีกด้วย บางคนเห็นว่าไปทางซ้าย บางคนบอกว่าต้องไปทางขวา ดังนั้น เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องมีกรรมการ และต้องรอฟังคำตัดสิน
สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นาทีนี้ ถือว่าลดแรงกดดันลงไปได้มาก เนื่องจากเมื่อเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แรงกดดันก็จะเบนไปทางนั้น ดังนั้น บรรดาสารพัดม็อบที่ตั้งแถวกันอยู่ในเวลานี้ ถือว่าไม่ใช่เป็นการกดดัน “บิ๊กตู่” แต่เป็นการกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ต่างหาก และในมุมของ “บิ๊กตู่” ถือว่า “ลอยตัว” ไปแล้ว เพราะเขายืนยันมาตลอดว่า “น้อมรับคำวินิจฉัยของศาล” ความหมายก็คือ ไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนก็พร้อมยอมรับ
ซึ่งการพูดแบบนี้ หากมองในอีกมุมหนึ่ง มันก็เหมือนกับมีความมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ขณะเดียวกัน การแสดงท่าทีแบบนั้น มันก็ต้องการเบี่ยงแรงกดดันให้ห่างตัวไปได้มาก และยังเป็นการทำลายน้ำหนักของฝ่ายตรงข้ามลงไปได้อย่างชะงัด !!


