xs
xsm
sm
md
lg

พปชร. จับพิรุธข้อตกลง GBC เปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” รับรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคลได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล”รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และ อดีต รมว.คลัง จับพิรุธข้อตกลง GBC เปิดช่องให้“รัฐบาลไส้ศึก”รับรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคลได้ ชี้ข้อ 6 ข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา พิลึกพิลั่น แปลผิดทำคนเข้าใจคลาดเคลื่อน

(8 ส.ค.68) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ได้ข้อสรุปเมื่อ 7 สิงหาคม 2568 ว่า ภายใต้การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(GBC) โดยชี้ให้เห็นพิรุธสำคัญใน“ข้อ 6”ที่อาจเปิดช่องให้เกิดการใช้ประโยชน์โดยไม่เหมาะสม โดยเนื้อหาข้อตกลงข้อ 6 ระบุว่า การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา :การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี

อย่างไรก็ตาม ข้อความภาษาอังกฤษในข้อตกลงนั้น ระบุชัดเจนว่า “If one side wishes to bring in its own wounded soldiers or civilians who are not under the control of the other side for medical treatment, the receiving side may determine its response based on the capacity of its medical facilities… on a case-by-case basis.”

นายธีระชัย ชี้ว่า คำแปลภาษาไทย “พยายามให้คนเข้าใจผิดว่า การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในอีกฝ่ายเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา” ซึ่งเป็นเรื่องผิด เพราะอนุสัญญาเจนีวาครอบคลุมเฉพาะทหารที่ตกเป็นเชลยและอยู่ในความควบคุมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงทหารบาดเจ็บที่ยังอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย

“ในทางปฏิบัติ ฝ่ายไทยสามารถตัดสินใจรับหรือไม่รับผู้บาดเจ็บที่ฝ่ายกัมพูชาประสงค์ส่งมาได้ตามศักยภาพของโรงพยาบาล และตามดุลยพินิจ ไม่ใช่ข้อบังคับแบบตายตัวอย่างที่แปลเป็นไทย”

ดังนั้น ข้อ 6 นี้ จึงกลายเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลและความไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักการเมืองไทย เพราะเปิดช่องให้ “รัฐบาลไส้ศึก” ใช้อำนาจเลือกปฏิบัติ “on a case-by-case basis” ในการให้การรักษาพยาบาลเฉพาะบางบุคคล ซึ่งอาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างสองประเทศ

สำหรับสาระสำคัญข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ ไทย - กัมพูชา ขอสรุปออกมาเป็น 6 ข้อ ได้แก่ 1.ยุติการใช้อาวุธและการโจมตีพลเรือนทุกกรณี 2.รักษาสถานะกำลังพลและห้ามเคลื่อนย้ายที่ตั้ง ตั้งแต่ 28 ก.ค. 2568 3.งดเว้นการยั่วยุและกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ชายแดน 4.ยืนยันการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาในการดูแลเชลยศึก 5.กำหนดกลไกตรวจสอบและสังเกตการณ์โดยอาเซียน และ 6.นัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามสถานการณ์

นายธีระชัย มองว่า โดยภาพรวมการเจรจาครั้งนี้ ถือว่ากลางๆ มีมาตรการป้องกันการล้ำเขตที่เหมาะสม และใช้ประเด็นเรื่อง Call Center, scammer กดดันกัมพูชาได้ในทางบวก”แต่“ข้อ 6 กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะพูดเกินกว่าขอบเขตของอนุสัญญาเจนีวา และทำให้เกิดความรู้สึกถูกผูกมัดโดยไม่จำเป็น ซึ่งการใส่ข้อความเกินจำเป็นนี้ จะขยายความไม่พอใจต่อกัมพูชา และสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทย

“ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและทบทวนการแปลเนื้อหาข้อตกลงอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียทางการเมืองและความมั่นคงในอนาคต”


กำลังโหลดความคิดเห็น