บลจ.กรุงไทย โชว์ผลดำเนินงาน 2 กองทุนหุ้น "ไทยสร้างโอกาส" และ "ไทยธนวรรธน์"โดดเด่น สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ประกาศจ่ายปันผลอัตรากองทุนละ 1 บาทต่อหน่วยในสิ้นเดือนนี้ คุยช่วยลดความเสี่ยงนักลงทุนจากความผันผวนที่เกิดขึ้น ล่าสุดวันนี้ (29ม.ค.) เปิดขายกองใหม่ "กรงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น24"ลุยบอนด์ในประเทศความเสี่ยงต่ำ มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ชูให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยแบงก์
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุน มีมติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนเปิดไทยสร้างโอกาส (TOF) และกองทุนเปิดกรุงไทยธนวรรธน์ ( KTTW) ในอัตรากองทุนละ 1 บาทต่อหน่วย เป็นผลการดำเนินงานในรอบปีบัญชี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ซึ่งจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อสิทธิ์ในการรับเงินปันผล ในวันที่ 29 มกราคม 2551 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฎในวันปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 31 มกราคม 2551 โดยในรอบปี2550
สำหรับ กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาสและกองทุนเปิดกรุงไทยธนวรรธน์ จ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 2 ครั้ง คิดเป็นเงิน3.00บาทต่อหน่วย และ 2.00 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ นอกจากนี้ทั้ง 2 กองทุนยังมีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2551 -28 ธันวาคม 2550 อยู่ที่ 36.68% และ36.55% ตามลำดับ
ทั้งนี้ บลจ.กรุงไทยประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2550 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 178.26 จุด หรือ 26.22% ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 ปิดตลาดที่ 858.10 จุด นั้นมีผลมาจากปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมาได้แก่ เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ แนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินบาท และผลประกอบการที่ดีของหุ้นในกลุ่มพลังงานจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าการเมืองภายในประเทศ ทำให้ชะลอความมั่นใจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็ตาม
"ในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดเงิน และตลาดทุนจากกระแสการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นการจ่ายเงินปันผลให้กับลูกค้า เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้อีกทางหนึ่งด้วย"นายธีรพันธุ์ กล่าว
โดย ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาส มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.7 พันล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยเท่ากับ 17.3941 บาท และกองทุนเปิดกรุงไทยธนวรรธน์ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4.9 พันล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยเท่ากับ 15.9925 บาท
นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 24 (KT3M24) อายุโครงการ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2551 ผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ สำหรับกองทุนดังกล่าว เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถคุ้มครองเงินต้นให้กับนักลงทุน ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารดังกล่าว ไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการคุ้มครองเงินต้นจากการลงทุน โดยผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ และยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการลงทุน มีมติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนเปิดไทยสร้างโอกาส (TOF) และกองทุนเปิดกรุงไทยธนวรรธน์ ( KTTW) ในอัตรากองทุนละ 1 บาทต่อหน่วย เป็นผลการดำเนินงานในรอบปีบัญชี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ซึ่งจะทำการปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนเพื่อสิทธิ์ในการรับเงินปันผล ในวันที่ 29 มกราคม 2551 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อปรากฎในวันปิดสมุดทะเบียน ในวันที่ 31 มกราคม 2551 โดยในรอบปี2550
สำหรับ กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาสและกองทุนเปิดกรุงไทยธนวรรธน์ จ่ายเงินปันผลไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 2 ครั้ง คิดเป็นเงิน3.00บาทต่อหน่วย และ 2.00 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ นอกจากนี้ทั้ง 2 กองทุนยังมีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ นับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2551 -28 ธันวาคม 2550 อยู่ที่ 36.68% และ36.55% ตามลำดับ
ทั้งนี้ บลจ.กรุงไทยประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2550 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 178.26 จุด หรือ 26.22% ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 ปิดตลาดที่ 858.10 จุด นั้นมีผลมาจากปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมาได้แก่ เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ แนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินบาท และผลประกอบการที่ดีของหุ้นในกลุ่มพลังงานจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าการเมืองภายในประเทศ ทำให้ชะลอความมั่นใจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็ตาม
"ในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดเงิน และตลาดทุนจากกระแสการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นการจ่ายเงินปันผลให้กับลูกค้า เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนได้อีกทางหนึ่งด้วย"นายธีรพันธุ์ กล่าว
โดย ณ วันที่ 25 มกราคม 2551 กองทุนเปิดไทยสร้างโอกาส มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2.7 พันล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยเท่ากับ 17.3941 บาท และกองทุนเปิดกรุงไทยธนวรรธน์ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4.9 พันล้านบาท มูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยเท่ากับ 15.9925 บาท
นอกจากนี้ บริษัทจะเปิดจำหน่ายกองทุนรวมกรุงไทยตราสารการเงินคุ้มครองเงินต้น 24 (KT3M24) อายุโครงการ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2551 ผ่านสาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ สำหรับกองทุนดังกล่าว เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตราสารหนี้ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และสามารถคุ้มครองเงินต้นให้กับนักลงทุน ได้แก่ ตราสารภาครัฐไทย ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือบัตรเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ออก โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารดังกล่าว ไม่น้อยกว่าร้อยละ 98 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จึงเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการคุ้มครองเงินต้นจากการลงทุน โดยผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ และยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์