ภาวะเศรษฐกิจทุกวันนี้อยู่ในช่วงความผันผวนไม่แน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง หรือราคาสินค้าอุปโภคที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้หลายค่าย บลจ. ต่างต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องทำการคิดค้นผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาลงทุนให้ถูกจังหวะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนเอฟไอเอฟ หรือการลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศก็ตาม ทำให้เห็นว่าตลาดกองทุนรวมนั้นมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง
และฉบับนี้ ** “บุญชัย เกียรติธนาวิทย์”** กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด จะมาพูดถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทว่า มีนโยบายเป็นอย่างไรกันบ้าง "สำหรับกองทุนรวมเอฟไอเอฟในช่วงนี้จะเห็นได้ว่าหลายค่าย บลจ. เริ่มทำการเปิดขายกันมากขึ้น ด้วยการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าใจมากขึ้นด้วย เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันในตลาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อช่วงตอนกลางปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ากองทุนรวมเอฟไอเอฟยังไม่ค่อยคึกคักมากนัก"กรรมการผู้จัดการ กล่าว
สำหรับ บลจ. ธนชาต เองก็ทำงานหนักไม่แพ้กับบลจ. อื่นๆ เพราะบริษัทได้มองหากองทุนที่มีความน่าสนใจในช่วงจังหวะที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนในตลาดโลกมีเยอะมากมาย กว่าในตลาดในเมืองไทยที่มีอยู่ ดังนั้นจึงมีหลายรูปแบบในการลงทุนที่บริษัทคิดว่าน่าสามารถมานำเสนอให้กับนักลงทุนในประเทศได้ โดยบริษัทจะทำการพิจารณาดูว่า กองทุนที่น่าสนใจนั้นมี บลจ.รายใดจัดตั้งขึ้นมาบ้างแล้ว และความต้องการของนักลงทุนยังมีอยู่หรือไม่ หรือเป็นกองทุนใหม่ที่ยังไม่มีบลจ. รายใดทำการนำเสนอต่อนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม บลจ. ธนชาต ยังต้องคำนึงถึงโอกาสในความเหมาะสมต่อการลงทุนด้วย รวมถึงกองทุนที่บริษัทคิดว่าดีและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนได้ ซึ่งสิ่งที่คิดว่าดีนั้น ต้องเป็นกองทุนที่ดีในตลาดโลก รวมถึงผู้จัดการกองทุนต้องมีการบริหารกองทุนให้เป็นที่เชื่อถือได้
“ส่วนใหญ่เวลาเราขายกองทุนเราจะดูก่อนว่าโอกาสการลงทุนอยู่ที่ไหน เป็นธุรกิจที่แข่งกันในหลายบลจ.หรือไม่ ซึ่งในแต่ละ บลจ. เองอาจจะมีจุดยืนที่แตกต่างกัน และเราก็ไม่ได้คิดว่าใครผิดใครถูก แต่ถือว่าเป็นการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมกองทุนรวม นอกจากนี้เราเองยังคงต้องดูถึงความน่าสนใจและความเหมาะสมในการออกกองทุนเป็นหลัก” บุญชัย บอก
กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต กล่าวว่า การจะหากองทุนที่แปลก ๆ ไม่เหมือนใครมานำเสนอนั้น ไม่มีเสมอไปเพราะจริง ๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับโอกาสในการลงทุนมากกว่า ซึ่งปัจจุบันการเปิดกองทุนในบ้านเราก็ยังเห็นหลายบลจ. ที่ทำการออกกองทุนในลักษณะที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองมาบ้างแล้ว เช่น กองทุนน้ำ กองทุนเฮลแคร์ กองทุนทองคำ และกองทุนนิวเอ็นเนอร์จีฟันด์ เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนอาจจะมองว่าเป็นกองทุนแปลกแล้ว แต่ในทางกลับกัน ในต่างประเทศยังมีกองทุนที่น่าสนใจมากกว่านี้และเป็นกองทุนที่ใหญ่พอสมควร เช่น กองทุนไฟแนนซ์ ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนที่ใหญ่มากตัวหนึ่งของโลก และบลจ.ธนชาตเองก็ให้ความสนใจเห็นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ยังคงต้องดูถึงความเหมาะสมในการลงทุนในช่วงจังหวะสถานการณ์ของบ้านเราด้วย และต้องดูด้วยว่านักลงทุนจะให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน
เช่นเดียวกับกองทุนนิวเอ็นเนอร์จีฟันด์ ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่า เป็นจังหวะที่ดีในการนำเสนอให้กับนักลงทุน เนื่องจากราคาพลังงานเริ่มเพิ่มสูงขึ้น และหลาย ๆ บริษัทมีช่วงกำไรที่เพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อดูจากผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทจึงถือโอกาสเข้าไปทำการเปิดขายให้กับนักลงทุน และก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถปิดไอพีโอไปกว่า 1,198 ล้านบาท โดยสัดส่วนการซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้วเป็นนักลงทุนบุคคลธรรมดาที่เข้ามาลงทุนสูงถึง 80 – 90% ซึ่งมากกว่านักลงทุนสถาบันทางการเงิน
ทั้งนี้การลงทุนในต่างประเทศมีการรับรู้เพิ่มมากขึ้น บวกกับปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ถูกลงกว่าเมื่อช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น เพราะเนื่องจากว่าในอดีตนั้น การที่นักลงทุนจะออกไปลงทุนในต่างประเทศนั้นต้นทุนยังแพงอยู่ แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยถูกลงเยอะอยู่ที่ประมาณ 2% กว่า และมองว่าอัตราดอกเบี้ยยังคงจะไม่มีการปรับขึ้นในเร็ววันนี้ ดังนั้นค่าเสียโอกาสของผู้ลงทุนมันจึงน้อยกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วปัจจุบันการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่มากนัก เพราะการนำเงินไปฝากแบงก์ต่างให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าการเข้าไปลงทุนในรูปแบบอื่น อย่างเช่น การลงทุนในหุ้น ซึ่งในบางวันหุ้นอาจจะถีบตัวสูงขึ้นกว่า 2% และก็มีความน่าสนใจมากกว่า และมันก็คุ้มกับค่าเสียโอกาสที่นักลงทุนได้เข้าไปลงทุนด้วย
“อย่างไรก็ตามเรายังเห็นนักลงทุนบางรายที่ยังนำเงินเข้าฝากแบงก์อยู่ เช่นเดียวกับที่เรายังเห็นคนที่ชื่นชอบการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเฉพาะเวลาที่เราออกกองทุนตราสารหนี้ประเภท 3 เดือน 6 เดือน 1 ปีนั้น ก็ยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมองว่าการลงทุนจุดนี้เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย” บุญชัย กล่าว
เช่นเดียวกับกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 1 (TPRO1) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนเช่นเดียวกัน เนื่องจากสามารถระดมทุนได้กว่า 4,900 ล้านบาท โดยกองทุนเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่เป็นตราสารภาครัฐไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และหรือเงินฝาก อายุโครงการประมาณ 11-12 เดือน
และฉบับนี้ ** “บุญชัย เกียรติธนาวิทย์”** กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด จะมาพูดถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทว่า มีนโยบายเป็นอย่างไรกันบ้าง "สำหรับกองทุนรวมเอฟไอเอฟในช่วงนี้จะเห็นได้ว่าหลายค่าย บลจ. เริ่มทำการเปิดขายกันมากขึ้น ด้วยการคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าใจมากขึ้นด้วย เพราะปัจจุบันมีการแข่งขันในตลาดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อช่วงตอนกลางปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ากองทุนรวมเอฟไอเอฟยังไม่ค่อยคึกคักมากนัก"กรรมการผู้จัดการ กล่าว
สำหรับ บลจ. ธนชาต เองก็ทำงานหนักไม่แพ้กับบลจ. อื่นๆ เพราะบริษัทได้มองหากองทุนที่มีความน่าสนใจในช่วงจังหวะที่เหมาะสมให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนในตลาดโลกมีเยอะมากมาย กว่าในตลาดในเมืองไทยที่มีอยู่ ดังนั้นจึงมีหลายรูปแบบในการลงทุนที่บริษัทคิดว่าน่าสามารถมานำเสนอให้กับนักลงทุนในประเทศได้ โดยบริษัทจะทำการพิจารณาดูว่า กองทุนที่น่าสนใจนั้นมี บลจ.รายใดจัดตั้งขึ้นมาบ้างแล้ว และความต้องการของนักลงทุนยังมีอยู่หรือไม่ หรือเป็นกองทุนใหม่ที่ยังไม่มีบลจ. รายใดทำการนำเสนอต่อนักลงทุน
อย่างไรก็ตาม บลจ. ธนชาต ยังต้องคำนึงถึงโอกาสในความเหมาะสมต่อการลงทุนด้วย รวมถึงกองทุนที่บริษัทคิดว่าดีและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุนได้ ซึ่งสิ่งที่คิดว่าดีนั้น ต้องเป็นกองทุนที่ดีในตลาดโลก รวมถึงผู้จัดการกองทุนต้องมีการบริหารกองทุนให้เป็นที่เชื่อถือได้
“ส่วนใหญ่เวลาเราขายกองทุนเราจะดูก่อนว่าโอกาสการลงทุนอยู่ที่ไหน เป็นธุรกิจที่แข่งกันในหลายบลจ.หรือไม่ ซึ่งในแต่ละ บลจ. เองอาจจะมีจุดยืนที่แตกต่างกัน และเราก็ไม่ได้คิดว่าใครผิดใครถูก แต่ถือว่าเป็นการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมกองทุนรวม นอกจากนี้เราเองยังคงต้องดูถึงความน่าสนใจและความเหมาะสมในการออกกองทุนเป็นหลัก” บุญชัย บอก
กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต กล่าวว่า การจะหากองทุนที่แปลก ๆ ไม่เหมือนใครมานำเสนอนั้น ไม่มีเสมอไปเพราะจริง ๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับโอกาสในการลงทุนมากกว่า ซึ่งปัจจุบันการเปิดกองทุนในบ้านเราก็ยังเห็นหลายบลจ. ที่ทำการออกกองทุนในลักษณะที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองมาบ้างแล้ว เช่น กองทุนน้ำ กองทุนเฮลแคร์ กองทุนทองคำ และกองทุนนิวเอ็นเนอร์จีฟันด์ เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนอาจจะมองว่าเป็นกองทุนแปลกแล้ว แต่ในทางกลับกัน ในต่างประเทศยังมีกองทุนที่น่าสนใจมากกว่านี้และเป็นกองทุนที่ใหญ่พอสมควร เช่น กองทุนไฟแนนซ์ ซึ่งถือว่าเป็นกองทุนที่ใหญ่มากตัวหนึ่งของโลก และบลจ.ธนชาตเองก็ให้ความสนใจเห็นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ยังคงต้องดูถึงความเหมาะสมในการลงทุนในช่วงจังหวะสถานการณ์ของบ้านเราด้วย และต้องดูด้วยว่านักลงทุนจะให้ความสนใจมากน้อยแค่ไหน
เช่นเดียวกับกองทุนนิวเอ็นเนอร์จีฟันด์ ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่า เป็นจังหวะที่ดีในการนำเสนอให้กับนักลงทุน เนื่องจากราคาพลังงานเริ่มเพิ่มสูงขึ้น และหลาย ๆ บริษัทมีช่วงกำไรที่เพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อดูจากผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทจึงถือโอกาสเข้าไปทำการเปิดขายให้กับนักลงทุน และก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถปิดไอพีโอไปกว่า 1,198 ล้านบาท โดยสัดส่วนการซื้อหน่วยลงทุนดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้วเป็นนักลงทุนบุคคลธรรมดาที่เข้ามาลงทุนสูงถึง 80 – 90% ซึ่งมากกว่านักลงทุนสถาบันทางการเงิน
ทั้งนี้การลงทุนในต่างประเทศมีการรับรู้เพิ่มมากขึ้น บวกกับปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ถูกลงกว่าเมื่อช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น เพราะเนื่องจากว่าในอดีตนั้น การที่นักลงทุนจะออกไปลงทุนในต่างประเทศนั้นต้นทุนยังแพงอยู่ แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยถูกลงเยอะอยู่ที่ประมาณ 2% กว่า และมองว่าอัตราดอกเบี้ยยังคงจะไม่มีการปรับขึ้นในเร็ววันนี้ ดังนั้นค่าเสียโอกาสของผู้ลงทุนมันจึงน้อยกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้แล้วปัจจุบันการฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่มากนัก เพราะการนำเงินไปฝากแบงก์ต่างให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าการเข้าไปลงทุนในรูปแบบอื่น อย่างเช่น การลงทุนในหุ้น ซึ่งในบางวันหุ้นอาจจะถีบตัวสูงขึ้นกว่า 2% และก็มีความน่าสนใจมากกว่า และมันก็คุ้มกับค่าเสียโอกาสที่นักลงทุนได้เข้าไปลงทุนด้วย
“อย่างไรก็ตามเรายังเห็นนักลงทุนบางรายที่ยังนำเงินเข้าฝากแบงก์อยู่ เช่นเดียวกับที่เรายังเห็นคนที่ชื่นชอบการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเฉพาะเวลาที่เราออกกองทุนตราสารหนี้ประเภท 3 เดือน 6 เดือน 1 ปีนั้น ก็ยังมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมองว่าการลงทุนจุดนี้เป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย” บุญชัย กล่าว
เช่นเดียวกับกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ภาครัฐคุ้มครองเงินต้น 1 (TPRO1) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนเช่นเดียวกัน เนื่องจากสามารถระดมทุนได้กว่า 4,900 ล้านบาท โดยกองทุนเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่เป็นตราสารภาครัฐไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และหรือเงินฝาก อายุโครงการประมาณ 11-12 เดือน