กบข.เพิ่มน้ำหนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หวังกอบโกยผลตอบแทนในช่วงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เทงบ1.2 หมื่นล้านบาทลงทุนในอาคารพาณิชย์ และ อาคารสำนักงาน ย่านใจกลางเมือง พร้อมเล็งกระจายเงินช้อนอสังหาฯในต่างแดน
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.มีนโยบายจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนในช่วงอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ด้วยการขยายการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ เพิ่มเติมโดยเฉพาะ อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน และอาคารที่พักอาศัยให้เช่า ในย่านใจกลางเมือง นอกจากนี้ กบข. ยังได้ศึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยง และช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนอีกด้วย
"การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีส่วนดีในเรื่องการบริหารจัดการเงินออมในระยะยาว เหมาะสมกับ กบข.ที่มีฐานะเป็นนักลงทุนสถาบันที่บริหารเงินออมระยะยาวสำหรับข้าราชการทั่วประเทศ" นายวิสิฐกล่าว
สำหรับ กบข.มีเพดานการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คิดเป็น 8% ของพอร์ตลงทุน หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท โดยในช่วงที่ผ่านมาลงทุนไปแล้ว 4% ทำให้ยังเหลือช่องทางในการลงทุนเพิ่มอีก 4% หรือประมาณ 12,000 ล้านบาท
นายวิสิฐกล่าวว่า ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ อีกทั้งราคาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ยังปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ด้วยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 4 นี้ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการตัดสินใจเพิ่มน้ำหนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ เพราะคณะผู้บริหาร กบข. เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้ส่งผลดีต่อพอร์ตลงทุนโดยรวมที่เน้นบริหารเงินออมในระยะยาวให้กับสมาชิก
ส่วนปัจจัยในการคัดเลือกประเภทสินทรัพย์เพื่อลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ของ กบข.นั้น จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานธุรกิจหรือ Investment Grade ที่ผ่านการรับรองโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ หรือ Real Estate Investment Trusts หรือ REITS อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แล้ว โดยทั่วไป พอร์ตการลงทุนโดยรวมของ กบข. จะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุนเป็นหลัก
ทั้งนี้ มีรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้มีรายการซื้อขายรายใหญ่ หรือบิ๊กล็อตหลักทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย หรือ SPF จำนวน 12 รายการ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 500 ล้านบาท โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าการทำบิ๊กล็อตดังกล่าวเป็นการทำรายการของกบข. ที่เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมจากเดิมที่ถือหุ้นในSPF อยู่แล้วในสัดส่วน 2.11% หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือครอง 20 ล้านหุ้น โดยการลงทุนเพิ่มอีกจำนวน 56 ล้านหน่วยครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกบข.ขยับขึ้นเป็น 7-8% หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือครองจำนวน 76 ล้านหน่วย
แหล่งข่าวนักวิเคราหะรายหนึ่งกล่าวว่า มี 2 ปัจจัยหลัก ที่ทำให้เกิดการซื้อขายบิ๊กล็อตครั้งนี้ คือ ผู้ซื้อจะได้รับผลดีจากการยกเลิกมาตรการ 30% ในเร็วๆ นี้ ที่จะส่งผลดีต่อการลงทุนโดยไม่ต้องเสียต้นทุนไปฟรีๆ 30% อีกทั้ง SPF นั้นเป็นหลักทรัพย์ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.มีนโยบายจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนในช่วงอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ด้วยการขยายการลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ เพิ่มเติมโดยเฉพาะ อาคารพาณิชย์ อาคารสำนักงาน และอาคารที่พักอาศัยให้เช่า ในย่านใจกลางเมือง นอกจากนี้ กบข. ยังได้ศึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อกระจายความเสี่ยง และช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนอีกด้วย
"การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีส่วนดีในเรื่องการบริหารจัดการเงินออมในระยะยาว เหมาะสมกับ กบข.ที่มีฐานะเป็นนักลงทุนสถาบันที่บริหารเงินออมระยะยาวสำหรับข้าราชการทั่วประเทศ" นายวิสิฐกล่าว
สำหรับ กบข.มีเพดานการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คิดเป็น 8% ของพอร์ตลงทุน หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท โดยในช่วงที่ผ่านมาลงทุนไปแล้ว 4% ทำให้ยังเหลือช่องทางในการลงทุนเพิ่มอีก 4% หรือประมาณ 12,000 ล้านบาท
นายวิสิฐกล่าวว่า ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจ เนื่องจากเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ อีกทั้งราคาอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ยังปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ด้วยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 4 นี้ ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการตัดสินใจเพิ่มน้ำหนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ เพราะคณะผู้บริหาร กบข. เชื่อว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้ส่งผลดีต่อพอร์ตลงทุนโดยรวมที่เน้นบริหารเงินออมในระยะยาวให้กับสมาชิก
ส่วนปัจจัยในการคัดเลือกประเภทสินทรัพย์เพื่อลงทุนเพิ่มในครั้งนี้ของ กบข.นั้น จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานธุรกิจหรือ Investment Grade ที่ผ่านการรับรองโดยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ หรือ Real Estate Investment Trusts หรือ REITS อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แล้ว โดยทั่วไป พอร์ตการลงทุนโดยรวมของ กบข. จะมุ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ และตราสารทุนเป็นหลัก
ทั้งนี้ มีรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ได้มีรายการซื้อขายรายใหญ่ หรือบิ๊กล็อตหลักทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย หรือ SPF จำนวน 12 รายการ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 500 ล้านบาท โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าการทำบิ๊กล็อตดังกล่าวเป็นการทำรายการของกบข. ที่เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมจากเดิมที่ถือหุ้นในSPF อยู่แล้วในสัดส่วน 2.11% หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือครอง 20 ล้านหุ้น โดยการลงทุนเพิ่มอีกจำนวน 56 ล้านหน่วยครั้งนี้ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกบข.ขยับขึ้นเป็น 7-8% หรือคิดเป็นสัดส่วนการถือครองจำนวน 76 ล้านหน่วย
แหล่งข่าวนักวิเคราหะรายหนึ่งกล่าวว่า มี 2 ปัจจัยหลัก ที่ทำให้เกิดการซื้อขายบิ๊กล็อตครั้งนี้ คือ ผู้ซื้อจะได้รับผลดีจากการยกเลิกมาตรการ 30% ในเร็วๆ นี้ ที่จะส่งผลดีต่อการลงทุนโดยไม่ต้องเสียต้นทุนไปฟรีๆ 30% อีกทั้ง SPF นั้นเป็นหลักทรัพย์ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต