xs
xsm
sm
md
lg

ไฮลักซ์ ก็เคยวัยรุ่น ส่องหน้าตาตอนยังไม่มีกล้ามบึกบึนแบบทุกวันนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในประเทศไทย รถกระบะสะท้อนความผูกพันอันลึกซึ้ง เสมือนเพื่อนร่วมเดินทาง ที่อยู่เคียงข้างกันมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันเราจะเห็นรถกระบะในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะใช้ในการประกอบอาชีพ ขนส่งสินค้า เดินทางในชีวิตประจำวัน หรือเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย จึงกล่าวได้ว่า สำหรับคนไทย รถกระบะไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

จุดเริ่มต้นของก้าวสำคัญที่โตโยต้า และคนไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้น คือ โครงการ IMV (Innovative International Multi-purpose Vehicle) เมื่อปีพ.ศ. 2547 โดย IMV คือโครงการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ภายใต้ชื่อรถกระบะ ไฮลักซ์ (รุ่นที่ 7) รถยนต์อเนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์ (และรถมินิแวน อินโนวาในต่างประเทศ) รวมถึงเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก ด้วยมูลค่าการลงทุน ณ ขณะนั้น 30,000 ล้านบาท ภายใต้วัตถุประสงค์ที่จะผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค


โครงการ IMV ได้ทำให้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปลี่ยนบทบาทจากฐานการผลิตที่เน้นตลาดภายในประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถกระบะ

ในปัจจุบัน HILUX ที่ผลิตในไทยได้ถูกส่งออกไปยัง 133 ประเทศทั่วโลก มียอดส่งออกสะสมกว่า 4.6 ล้านคัน มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศด้วยสัดส่วนสูงสุดถึง 95% ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนไทย ผ่านการจ้างงานกว่า 275,000 คน ทั้งพนักงานในเครือ พนักงานของผู้แทนจำหน่ายฯ 153 แห่ง และผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ HILUX มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นกว่า 30% ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด และมีส่วนช่วยสร้าง GDP ให้ประเทศไทยมากถึง 3% ต่อปี สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้น

ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า HILUX ไม่ได้เป็นเพียงรถกระบะ แต่คือ “รถกระบะมหาชน” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง



เราลองหันมาดูหน้าตาของ ไฮลักซ์ ในรุ่นที่ผ่านมา ก่อนจะถึงวันนี้ เป็นอย่างไรกันบ้าง เริ่มจาก

Hilux Generation 1 | RN10 :จุดเริ่มต้นของความเชื่อใจ พ.ศ. 2512 – 2515

ชื่อ Hilux มาจากคำว่า High + Luxury จุดที่ความแกร่งและความหรูหรามาบรรจบกัน ในประเทศไทย ยุคเริ่มต้นของไฮลักซ์ คือ ยุคของการพัฒนาอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รัฐบาลมุ่งเน้นการสร้างสิ่งจำเป็น เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา และเริ่มส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่เศรษฐกิจไทยยังคงมีฐานรากมาจากภาคเกษตรเป็นหลัก และประชากรส่วนใหญ่ยังอยู่ในชนบท ผู้ใช้รถกระบะ ยังเป็นกลุ่มเฉพาะทาง

ส่วนใหญ่คือหน่วยงานราชการ ผู้รับเหมาก่อสร้าง คนมีฐานะในต่างจังหวัด รถกระบะเป็นเครื่องมือเพื่อการทำงานมากกว่ารถยนต์ส่วนบุคคล

ไฮลักซ์ อาร์เอ็น 10 คือ รถกระบะฐานล้อสั้น รุ่นแรก ของโตโยต้า ถูกนำเข้าทั้งคัน จากญี่ปุ่นสู่ไทย มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็กแต่ให้กำลังดี ขนาด 1.5 ลิตร 77 แรงม้า ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง รองรับการใช้งานทั้ง การขนส่งสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรจนกลายเป็นภาพคุ้นตาคนของยุคนั้น ด้วยโครงสร้างที่แข็งแรง และความนุ่มนวลในการขับขี่ ทำให้ชื่อ Toyota Hilux เริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองไทย




Hilux Generation 2 | RN20 :แข็งแกร่งขึ้น เพื่อตอบรับวิถีชีวิต พ.ศ. 2515 – 2522

ไฮลักซ์ในรุ่นที่ 2 ยังคงอยู่ในยุคที่ ประเทศไทยมุ่งลดความยากจนในชนบท ส่งเสริมการเกษตรหลากหลาย และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไฮลักซ์ ได้รับความนิยมจาก ผู้ค้าขาย เกษตรกร และผู้ขนส่งพืชผลทางการเกษตร และได้ก้าวเข้ามาเป็น “Partner” เป็นเพื่อนคู่ใจ ที่เชื่อถือได้

ช่วงปี 2515 เกิดกระแสต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในไทย เนื่องจากปัญหาขาดดุลการค้า ตามมาด้วยวิกฤตน้ำมันโลก 2516 ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 4 เท่าภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ทำให้ เครื่องยนต์ดีเซลเริ่มเป็นที่นิยม เนื่องจากประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน

ในปี 2518 รัฐบาลไทยต้องการลดการพึ่งพาการนำเข้า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (The Board of Investment: BOI) เน้นนโยบายส่งเสริมการผลิตในประเทศมากยิ่งขึ้น

นอกเหนือจากรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่เริ่มการประกอบในประเทศไปก่อนแล้ว โตโยต้าขานรับโดย เริ่มการประกอบ Hilux ในประเทศ ดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนจากญี่ปุ่น มาตั้งฐานการผลิตในไทย และ ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศกว่า 25%




Hilux Generation 3 | RN30 :สร้างมาพร้อมสำหรับทุกเส้นทาง 2522 – 2526

คนไทยรู้จักในชื่อ ไฮลักซ์ “ซูเปอร์สตาร์ - ม้ากระโดด” นอกจากการปรับดีไซน์ ภาพลักษณ์ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว เพื่อตอบรับกระแสความนิยม เครื่องยนต์ดีเซล

ปลายปี 2522 โตโยต้าได้แนะนำ เครื่องยนต์ดีเซล เป็นครั้งแรกในไฮลักซ์ โดยเป็นเครื่องยนต์ตระกูล L มีขนาดความจุ 2.2 ลิตร ให้กำลังประมาณ 72 แรงม้า แรงบิด 142 นิวตันเมตร และยังเพิ่มทางเลือกของระบบขับเคลื่อนโดยแนะนำรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นครั้งแรก

ในส่วนของกระบวนการผลิต โตโยต้าได้นำเทคโนโลยี การชุบสีเคลือบป้องกันสนิม ด้วยประจุไฟฟ้า เสริมความทนสนิมของตัวถัง Cation E.D.P. (Electro Deposit Painting) เข้ามาใช้ ช่วยเพิ่มความทนทานของตัวถังรถโตโยต้าทุกรุ่น

ด้วยสมรรถนะการขับขี่ การบรรทุก ความประหยัดน้ำมัน รวมถึง ความทนทานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไฮลักซ์ได้รับความนิยมสูงขึ้น กลายเป็นรถกระบะคู่ใจ ของผู้ใช้งานในทุกอุตสาหกรรม




Hilux Generation 4 | Hilux HERO :สร้างมาเพื่ออยู่เหนือกาลเวลา พ.ศ. 2526 – 2533

ไฮลักซ์ ฮีโร่ สัญลักษณ์ของความแกร่งและความทนทาน

ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ประเทศไทยเริ่มมีโครงสร้างพื้นฐานและถนนหนทางที่สมบูรณ์ขึ้น เศรษฐกิจเริ่มเติบโตชัดเจน จากนโยบายส่งเสริมการลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ รัฐบาลส่งเสริมการผลิตเครื่องยนต์ภายในประเทศ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ร่วมทุนกับปูนซีเมนต์ไทย ก่อตั้งบริษัท สยามโตโยต้า อุตสาหกรรม เพื่อผลิตเครื่องยนต์ภายในประเทศและส่งออก

รถกระบะได้รับความนิยมสูงขึ้น ผู้คนใช้รถกระบะในการเดินทาง หรือทำธุรกิจขนาดเล็ก และใช้งานส่วนตัว รถกระบะไม่ใช่เพียงรถบรรทุกอีกต่อไปแต่กลายเป็น “รถครอบครัวและธุรกิจ” และเริ่มสะท้อนภาพความสำเร็จและตัวตนผู้ใช้งานมากขึ้น

เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เริ่มเปลี่ยนไป โตโยต้า ประเทศไทยได้แนะนำไฮลักซ์ แบบ Extra Cab ครั้งแรก ในช่วงปลายเจเนอเรชั่นนี้

ความแข็งแกร่ง คุณภาพ ความทนทาน ความน่าเชื่อถือ ที่สั่งสมมาของไฮลักซ์ เริ่มพิสูจน์ให้ผู้ใช้ได้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้นในไฮลักซ์เจเนอเรชั่นนี้




Hilux Generation 5 | Hilux MIGHTY-X:นิยามใหม่ของรถกระบะอเนกประสงค์ พ.ศ. 2533 – 2541

ในช่วงทศวรรษ 2530 เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด เกิดความพยายามมุ่งสู่การเป็น “เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย” รถกระบะมีความสำคัญต่อธุรกิจขนาดเล็ก การค้าขาย และการขนส่ง

คนไทยจำนวนมากเริ่มมีรถส่วนตัว และไฮลักซ์ ได้กลายมาเป็นรถคันแรกของหลาย ๆ ครอบครัว ด้วยความทันสมัย แข็งแกร่ง รองรับการใช้งานหลายรูปแบบ ตัวถังแบบ Extra Cab ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง ด้วยความคุ้มค่าและอเนกประสงค์ ประกอบกับรูปลักษณ์ที่ทันสมัย สมรรถนะและความทนทาน ของเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน ทำให้ไฮลักซ์ ไมตี้-เอ็กซ์ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วประเทศ ทั้งผู้ใช้งานในเมือง ต่างจังหวัด และในท้องที่ห่างไกล ที่ต้องใช้เส้นทางแบบออฟโรด

และด้วยคุณภาพการผลิตของคนไทย ที่ได้รับการยอมรับ ในปี 2535 โตโยต้าได้เริ่มส่งออก ไฮลักซ์ ไมตี้-เอ็กซ์ ครั้งแรก เริ่มจากตลาดอาเซียน (ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา) โรงงานโตโยต้าในไทยเริ่มกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถกระบะ มีการใช้ชิ้นส่วนและอะไหล่ในประเทศเพิ่มสูงถึง 72%




Hilux Generation 6 | Hilux TIGER :จากรถทำงาน สู่สัญลักษณ์แห่งไลฟ์สไตล์ พ.ศ. 2541 – 2547

จากวิกฤตการณ์ ต้มยำกุ้ง ในปี 2540 โตโยต้า ยังคงยืนหยัด ผูกพัน และได้รับความเชื่อมั่นในประเทศไทย โดยโตโยต้า ยังคงการจ้างงาน การผลิต และการลงทุนในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง (Leave no one behind)

แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย โตโยต้ายังปรับผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่ แนะนำ ไฮลักซ์ ไทเกอร์ ในปี 2541 โดยมีการออกแบบ ตัวถังขนาดใหญ่ขึ้น เน้นความหรูหรา และทันสมัย รองรับการใช้งานแบบส่วนบุคคล ได้ดียิ่งขึ้น และยังใช้โครงสร้างนิรภัย GOA ที่ออกแบบให้แข็งแกร่งพร้อมดูดซับแรงกระแทกได้ดี เพิ่มความปลอดภัยของห้องโดยสาร และเป็นมาตรฐานใหม่ของรถกระบะในไทย

ด้วยระดับคุณภาพ การประกอบของคนไทย ไฮลักซ์ที่ผลิตในประเทศ ได้รับความไว้วางใจ ให้ส่งออกไปจำหน่าย ยังประเทศออสเตรเลียในปีเดียวกัน

ด้านผลิตภัณฑ์ มีการเปิดตัวรุ่น Prerunner (ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง) ที่เหมาะกับเทรนด์รถกระบะแนวไลฟ์สไตล์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนรถกระบะจาก “รถใช้งาน” ไปเป็น “รถที่ใช้ได้ในทุกโอกาส”

และเป็นครั้งแรกในไทยกับ เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ไฮลักซ์ ไทเกอร์ แนะนำเครื่องยนต์ “D-4D” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดมลพิษ ทรงพลัง ประหยัด และยกระดับสมรรถนะรถกระบะครั้งสำคัญ






Hilux Generation 7 | Hilux VIGO :จากมือคนไทย สู่ความแข็งแกร่งระดับโลก พ.ศ. 2547 – 2558

ไฮลักซ์ วีโก้ เกิดขึ้นภายใต้โครงการ IMV Project ซึ่งริเริ่มโดย คุณอากิโอะ โตโยดะ (Chairman of Toyota Motor Corporation) IMV เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ โตโยต้าในประเทศไทย

ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นฐานการผลิตและการส่งออกหลักของไฮลักซ์ โดยมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศมากกว่า 90% สร้างการจ้างงานจำนวนมากและ ทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของโตโยต้าทั่วโลก

ในด้านผลิตภัณฑ์ ไฮลักซ์ วีโก้ ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการรถกระบะของไทย ด้วยโครงสร้างเฟรมแข็งแกร่ง รองรับการออกแบบตัวถังหลายรูปแบบ ดีไซน์หรู ตัวถังขนาดใหญ่ เครื่องยนต์คอมมอนเรลทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน ช่วงล่างนุ่มนวล พร้อมระบบความปลอดภัยครบครัน ทำให้ไฮลักซ์ วีโก้กลายเป็น ”รถกระบะมหาชน” ที่ตอบโจทย์การใช้งานคนไทยทั้งธุรกิจ, ครอบครัว, และไลฟ์สไตล์

โดยวีโก้ได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นประวัติการณ์ ทำลายสถิติการขายในประเทศ ยอดขายเฉลี่ยมากกว่า 15,000 คันต่อเดือน ใน 4 เดือนแรกที่เปิดตัว (ก.ย.– ธ.ค. 2547)

ในปี 2550 โตโยต้า ได้ก่อตั้งโรงงานบ้านโพธิ์ เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต ของไฮลักซ์ และ IMV โดยเป็นโรงงาน ที่ทันสมัยมาตรฐานการผลิตสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ไฮลักซ์ วีโก้ เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ และสมรรถนะในทุกภูมิภาคทั่วโลก ทำให้ยอดการส่งออกรวมสูงถึง 1 ล้านคันในปี 2553 และ 2.4 ล้านคัน ในปี 2555

ในด้านผลิตภัณฑ์ ไฮลักซ์ วีโก้ ได้รับการปรับปรุง และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของคนไทย ทั้งด้านไลฟ์สไตล์ (TRD Sportivo 2555 และ 2557) และด้านการใช้งานธุรกิจ ก็เพิ่มความคุ้มค่า ด้วยการแนะนำ Hilux CNG (2555) ที่ได้รับการพัฒนา และติดตั้งระบบ รองรับเชื้อเพลิง แบบ Bi-Fuel (เบนซิน และ CNG) จากโรงงานโดยตรง

ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ ไฮลักซ์ วีโก้ เป็น ไฮลักซ์ รุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของบริษัท โดยมียอดจำหน่ายรวมในประเทศถึง 1.65 ล้านคัน




Hilux Generation 8 | Hilux REVO :นิยามใหม่ของรถกระบะ พ.ศ.2558 – ปัจจุบัน

ไฮลักซ์ รีโว่ ถูกพัฒนาให้ผสมผสานความแกร่งกับความสบาย การใช้งาน เน้นการตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการรถกระบะพรีเมียม มีเทคโนโลยีสูง ความปลอดภัยครบครัน และการขับขี่ที่นุ่มนวล ใกล้เคียงรถยนต์นั่ง

นอกจากด้านผลิตภัณฑ์ ไฮลักซ์ รีโว่ ยังมีบทบาท ช่วยขับเคลื่อน ภาคอุตสาหกรรมของไทย ทั้งด้านการผลิต การค้นคว้าวิจัย และการ ยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรท้องถิ่น สนับสนุนให้ประเทศไทยมีบทบาทเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกระดับโลก

โดยในปี 2560 โครงการ IMV มียอดส่งออกรวม 3 ล้านคัน และเป็นครั้งแรกที่ Hilux ที่ผลิตในไทย เริ่มส่งออกกลับไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น และในปี 2565 ยอดรวมการส่งออก สูงถึง 4 ล้านคัน เป็นเครื่องยืนยันถึงมาตรฐานการผลิตของไทย ที่ได้รับความไว้วางใจจากคนทั่วโลก

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่าน สู่สังคมดิจิทัล ไฮลักซ์ รีโว่ ยังคงเป็น “National Car – รถกระบะมหาชน” โดยไฮลักซ์ รีโว่ ยังตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนมากขึ้น โดยผู้ใช้ Hilux ขยายสู่ 2 ทิศทางหลัก

1.เป็น”รถใช้งาน ในภาคขนส่ง” ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม ธุรกิจขนส่งพัสดุและเดลิเวอรี่
2."รถยนต์ไลฟ์สไตล์" สำหรับการท่องเที่ยว, แคมป์ปิ้ง, และกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมกับการแต่งรถสวยงามอย่างแพร่หลาย สะท้อนตัวตนของผู้ใช้งานมากขึ้นทั้งแบบตัวเตี้ย และแบบยกสูง ทำให้โตโยต้า แนะนำรุ่นย่อยใหม่ เช่น “ROCCO” เรือธงไลฟ์สไตล์ ดีไซน์โดดเด่น แข็งแกร่ง พร้อมลุย เสริมภาพลักษณ์ผู้นำและความมั่นใจ

“Z-Edition” สำหรับคนรุ่นใหม่และสายแต่ง Low Rider ดีไซน์สปอร์ต พร้อมต่อยอดการแต่งในสไตล์ “Zaap” หรือ “Zing”

ไฮลักซ์ไม่เคยหยุดพัฒนาในปี 2563 มีการปรับดีไซน์ใหม่ ทั้งไลน์อัป พร้อมเครื่องยนต์ GD ปรับปรุงใหม่ ที่ทรงพลังและประหยัดกว่าเดิม

ในปี 2565 โตโยต้าเปิดตัว “GR Sport” ครั้งแรกในตระกูล ไฮลักซ์ ด้วยสมรรถนะและดีไซน์สปอร์ตยิ่งขึ้น และในปี 2567 โตโยต้าแนะนำ Flagship Model ใหม่ Hilux Revo GR Sport “Wide Tread” ดีไซน์แบบ Rally-inspired ผสานความสปอร์ต และพรีเมียม พร้อมสมรรถนะโดดเด่น ทั้งกำลังเครื่องยนต์ และระบบช่วงล่าง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา โตโยต้าและ ไฮลักซ์ ภูมิใจที่ได้อยู่เคียงข้าง และรับฟังเสียงของคนไทย ทำให้ในวันนี้ไฮลักซ์ ยังคงพัฒนาไม่หยุด สร้างนิยามใหม่แห่งนวัตกรรม ควบคู่กับการสนับสนุน เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อส่งต่อสู่คนรุ่น



ไฮลักซ์ ทราโว่ รุ่นปัจจุบัน


กำลังโหลดความคิดเห็น