ศรีสะเกษ- ทหาร ทภ.2 ร่วมฝ่ายปกครองและตำรวจ บุกอายัดทรัพย์สิน 2 ผัวเมียชาวไทย-กัมพูชา เป็นเงินสดกว่า 11 ล้าน พร้อมทองรูปพรรณกว่า 526 กรัม มูลค่ากว่า 2 ล้านและ มือถืออีก 7 เครื่อง ภายในโกดังในตลาดชายแดนช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ ศรีสะเกษ เผยเบื้องหลังพบความเคลื่อนไหวต้องสงสัยไม่อพยพยังพักอาศัยในพื้นที่สีแดง อ้างเป็นเงินจากทำธุรกิจค้าส่งสินค้ารายใหญ่ไปกัมพูชา ปัดเอี่ยวทุนเทา จนท.เร่งตรวจสอบเส้นทางเงินคาดเชื่อมโยงกลุ่ม“ทุนเทา”ข้ามชาติผิดกม. หนุนเขมรรบไทย
วันนี้ ( 17 ธ.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ศุภชัย ศักรินพานิชกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) ศรีสะเกษ พร้อมด้วย นายบัญชา จันทร์ณรงค์ นายอำเภอภูสิงห์ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน อาสารักษาดินแดนอำเภอภูสิงห์ และทหารจากกองร้อยเฉพาะกิจที่ 3 กองกำลังสุรนารี (กกล.สุรนารี) กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) ลงพื้นที่ตรวจสอบโกดังแห่งหนึ่งในตลาดเมืองใหม่ช่องสะงำ หลังได้รับแจ้งว่ามีประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชายังคงพักอาศัยอยู่ในพื้นที่สีแดง ซึ่งทางอำเภอได้ประกาศให้อพยพออกจากพื้นที่แล้ว
เมื่อเข้าตรวจสอบพบ ชายชาวไทย 1 ราย และหญิงชาวกัมพูชา 1 ราย ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน แสดงตัวเป็นเจ้าของโกดัง เลขที่ 438 ตลาดเมืองใหม่ช่องสะงำ หมู่ 8 บ้านแชร์ไปร์ใต้ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่จึงดำเนินการตรวจค้นภายในโกดัง และ รถยนต์ของทั้งสองคน พบเงินสดบรรจุอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้า จำนวน 11,031,150 บาท ทองรูปพรรณน้ำหนักรวม 526.11 กรัม มูลค่าประมาณ 2,034,600 บาท และโทรศัพท์มือถืออีก 7 เครื่อง
รายงานจากหน่วยความมั่นคงระบุว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้เข้าร่วมประสานงานในการอายัดทรัพย์สินดังกล่าว เนื่องจากมีข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนผิดกฎหมาย หรือ “ทุนเทา” ที่อาจเชื่อมโยงกับการสนับสนุนกิจกรรมด้านความมั่นคงผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ทั้งการจัดหาอาวุธ กระสุน อุปกรณ์เทคโนโลยีโดรน ตลอดจนเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ข้ามชาติฝั่งประเทศกัมพูชา
ล่าสุด พ.ต.อ.พฤทธิ์ บุญปก ผู้กำกับการ (ผกก.) สถานีตำรวจภูธร(สภ.) ภูสิงห์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น หญิงชาวกัมพูชาให้การว่า ตนและสามีประกอบธุรกิจค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ในจังหวัดสุรินทร์ และ ศรีสะเกษ โดยสินค้าส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา ส่วนเงินสดและทรัพย์สินที่ตรวจพบนั้น เป็นรายได้จากการประกอบธุรกิจ ไม่ได้นำฝากธนาคารเนื่องจากไม่ไว้วางใจสามี ซึ่งเป็นผู้ถือบัญชี จึงเบิกถอนเงินสดมาเก็บไว้ในตู้เซฟ
ต่อมาภายหลังเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน ทั้งสองได้นำเงินสดใส่กระเป๋าและขนขึ้นรถ เพื่อเตรียมย้ายออกจากพื้นที่สีแดงไปเช่าที่พักในพื้นที่ปลอดภัย ก่อนจะย้อนกลับมายังโกดังเพื่อเก็บเสื้อผ้า และถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นดังกล่าว
พ.ต.อ.พฤทธิ์ กล่าวอีก ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากข้อมูลในโทรศัพท์มือถือ ตรวจสอบที่มาของเงินสดพบว่า มีประวัติการเบิกถอนจากสถาบันการเงินถูกต้องตามกฎหมาย และไม่พบสารเสพติดปนเปื้อนในธนบัตร
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการอายัดเงินสดและทรัพย์สินทั้งหมดไว้ชั่วคราว เพื่อขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินและที่มาของทรัพย์สินอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป



