เชียงราย-กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ฤกษ์ศึกษาแก้น้ำท่วมถาวรชายแดนแม่สาย แจงต้องใช้งบฯ เกือบ 3,000 ล้าน เริ่มกลางปีนี้แล้วเสร็จสิ้นปี 2575 เน้นมีทางน้ำหลาก รับน้ำฝนได้สูงสุด มีพนังถาวร เล็งที่ดิน 3 แห่งให้คนริมฝั่งตั้งถิ่นฐานใหม่
วันนี้ (12 ธ.ค.) ที่ห้องประขุมโรงแรมปิยะพร พาวิลเลี่ยน อ.แม่สาย จ.เชียงราย กรมโยธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 เรื่องงานจ้างออกแบบรายละเอียด งานศึกษาแผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ จ.เชียงราย โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดและนำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ เข้าร่วม
กรมโยธาธิการและผังเมืองได้มอบหมายให้บริษัทวอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้แจ้งรายละเอียดต่อที่ประชุมโดยมีเนื้อหาว่า อ.แม่สาย เป็นประตูเศรษฐกิจที่สำคัญเชื่อมกับประเทศเมียนมาและกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS แต่การขยายตัวของชุมชนได้รุกล้ำแม่น้ำสายโดยเฉพาะ "เขตทางน้ำหลากของแม่น้ำ" จนทำให้เกิดน้ำหลากและน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในเดือน ก.ย.2567 หลังมีฝนสะสม 200 มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำหลากและดินโคลนสร้างควมเสียหายให้พื้นที่มากกว่า 6,000 ล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลจึงได้จัดสรรงบประมาณให้กรมโยธาธิการและผังเมืองศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยืนยัน ทั้งบริเวณด่านการค้าชายแดนและชุมชนโดยรอบ โดยในปี 2568-2569 ได้จัดสรรประมาณให้ 23,578,000 บาท
การศึกษาจะดำเนินการในเขตเทศบาล ต.เวียงพางคำ เทศบาล ต.แม่สาย และเทศบาล ต.แม่สายมิตรภาพ ซึ่งมีเนื้อที่รวม 56.13 ตารางกิโลเมตรแต่พื้นที่ที่จะศึกษาความเหมะสมและออกแบบรายละเอียดคือ 10.75 ตารางกิโลเมตร แนวคิดคือจัดให้มีทางน้ำหลาก คันป้องกันน้ำหลากริมฝั่งแม่น้ำ และระบบระบายน้ำเพื่อรองรับกรณีมีฝนตกหนักลงมา เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหลากที่ไหลผ่านฝายเหมืองแดงบริเวณวัดถ้ำผาจมได้ไม่น้อยกว่า 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (น้ำหลากสูงสุดที่เกิดขึ้นในปี 2567)
นอกจากนี้ยังมีแผนจัดหาที่ดินเพื่อรองรับการตั้งถิ่นฐานของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการ เบื้องต้นกำหนดแปลงที่ 1 ของสถานีใบยาสูบเวียงพาน 78 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวาซึ่งห่างจากชายแดน 2.5 กิโลเมตร,แปลงที่ 2 ของกระทรวงการคลังเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ห่างจากชายแดน 7.5 กิโลเมตร,และแปลงที่ 3 เนื้อที่ 35 ไร่ ของราชพัสดุห่างจากชายแดน 1.5 กิโลเมตร
กรณีการก่อสร้างคันกั้นน้ำริมแม่น้ำสายนั้นช่วงที่ 1 มีความยาว 998 เมตร ช่วงที่ 2 ความยาว 1,361 เมตร และช่วงที่ 3 ความยาว 1,561 เมตร โดยจะมีการรื้อย้ายอาคารสิ่งปลูกสร้างตามความจำเป็นในเขตขนานถนนสายลมจอย ความยาว 485 เมตร ถนนตัดแนวใหม่ ความยาว 631 เมตร ถนนเกาะทราย ความยาว 769 เมตร ถนนกรมชลประทาน ความยาว 2,035 เมตร
แผนการดำเนินการจะมีการสำรวจและออกแบบตั้งแต่ปลายปี 2458-กลางปี 2569 ระยะเวลา 6 เดือน มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรี และจะมีการจัดหาที่ดินโดยวิธีเจรจาตกลงซื้อขายตั้งแต่ปี 2569-2570 ระยะเวลา 15-18 เดือน ใช้งบประมาณกลาง 600 ล้านบาท,ต้นปี 2570 จะเริ่มก่อสร้างคันดินฐานป้องกันน้ำท่วมและคันคอนกรีตเสริมเหล็กระยะแรกไปจนถึงปลายปี 2571 ระยะเวลา 12-18 เดือนด้วยงบประมาณ 140 ล้านบาท จากนั้นจะมีการก่อสร้างคันคอนกรีตเสริมเหล็กและถนนรวมทั้งปรับปรุงถนนเดิมตั้งแต่กลายปี 2570-กลางปี 2573 ระยะเวลา 24-35 เดือนด้วยงบประมาณ 160 ล้านบาท
ส่วนการจัดหาที่ดินด้วยวิธีปรองดอง/ออก พรฎ.เวนคืนที่ดิน จะดำเนินการตั้งแต่ต้นปี 2571-สิ้นปี 2572 ระยะเวลา 12-24 เดือนด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งและจัดภูมิทัศน์ทางน้ำหลากจะดำเนินการตั้งแต่กลางปี 2572-กลางปี 2575 ระยะเวลา 30-36 เดือนด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาท และปรับปรุงระบบระบายน้ำหลักตั้งแต่กลางปี 2571-สิ้นสุดโครงการในปี 2575 ระยะเวลา 42-48 เดือนด้วยงบประมาณ 450 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 2,950 ล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่าหลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 เจ้าหน้าที่ทหารกรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้ร่วมกับฝ่ายปกครองนำเครื่องจักรอุปกรณ์พร้อมกำลังพลเข้ารื้ออาคารริมฝั่งและก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมชั่วคราวและกึ่งถาวรสูง 3 เมตร ตลอดแนวแมน้ำสายระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร นอกจากนี้ได้ร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 ขุดลอกแม่น้ำรวก ระยะทาง 32 กิโลเมตร แต่เนื่องจากมีอาคารริมฝั่งหลายแห่งไม่สามารถรื้อถอนได้ก่อนน้ำหลากทำให้ทุกฝ่ายกำลังรอกรมโยธาธิการและผังเมืองเข้าไปดำเนินการก่อนน้ำหลากปีหน้าดังกล่าว.


