xs
xsm
sm
md
lg

สานพลัง...จัดการสัตว์ต่างถิ่น ด้วยนวัตกรรมแปรรูป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปลาหมอคางดำซึ่งเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่กำลังแพร่ระบาดใน 17 จังหวัด กำลังถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นของดีของประจำถิ่น ด้วยยุทธศาสตร์อันชาญฉลาดของหน่วยงานภาครัฐ แนวคิดหลักคือ "การนำมาใช้ประโยชน์" แทนที่จะเพียงแค่กำจัดทิ้งอย่างสิ้นเปลืองงบประมาณและเวลาการพลิกเกมครั้งนี้คือบทพิสูจน์ถึงความสามารถในการเปลี่ยน "ภัยคุกคาม" ให้กลายเป็น "สินค้าสร้างมูลค่า" ได้อย่างน่าทึ่ง

กระแสที่โด่งดังเมื่อสัปดาห์ก่อน คือความสำเร็จในการแปรรูปปลาหมอคางดำให้กลายเป็น "น้ำปลา" ที่มีคุณภาพและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ความสำเร็จนี้มาจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าปลาชนิดนี้มีศักยภาพในการเป็นวัตถุดิบ เนื่องจากมีปริมาณโปรตีนสูงทัดเทียมกับปลาเศรษฐกิจทั่วไปซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับแนวคิดของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ผู้ทำการศึกษาและวิจัยสัตว์ต่างถิ่นมานานกว่า 20 ปี ที่เคยชี้ว่าการกำจัดเอเลี่ยนสปีชีส์ให้หมดไปเหลือศูนย์นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเหมือนกับกรณีผักตบชวาในอดีต ทางออกที่ยั่งยืนจึงอยู่ที่การลดจำนวนประชากรของมันลงและการนำมาใช้ประโยชน์ในห่วงโซ่เศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด

สิ่งที่น่าชื่นชมในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้อยู่ที่การผนึกกำลังของภาครัฐในมิติต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการทำงานแบบบูรณาการอย่างแท้จริง กรมประมงไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่ได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทันที ตัวอย่างเช่น การทำงานร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)ในการนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็น "น้ำหมักชีวภาพ" เพื่อใช้บำรุงสวนยางพารา ซึ่งนับเป็นการลดต้นทุนภาคเกษตรที่มีประสิทธิภาพมาก 

นอกจากนี้ยังมีการผนึกกำลังที่สำคัญกับกรมราชทัณฑ์เพื่อนำปลามาแปรรูปเป็น "น้ำปลาหับเผย” สินค้า OTOP ที่กำลังเป็นที่กล่าวขานอยู่ในขณะนี้ ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดจำนวนปลาในธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังสร้างทักษะอาชีพและมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน โดยใช้หลักคิดของการจัดการที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมอย่างน่าประทับใจ

และที่สำคัญ แนวทางการแปรรูปที่ไทยเลือกใช้ในครั้งนี้ เป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับสากล โดยหลายประเทศที่เคยเผชิญหน้ากับปัญหาปลาหมอคางดำหรือสายพันธุ์ใกล้เคียง ต่างก็ใช้ยุทธศาสตร์"การใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ"เป็นอาวุธสำคัญในการควบคุมประชากรปลาเหล่านี้ เช่น ในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะรัฐฟลอริดาและฮาวาย ซึ่งเคยประสบการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของปลาหมอคางดำ ก็เลือกใช้มาตรการควบคุมควบคู่ไปกับการนำปลาหมอคางดำที่จับได้ปริมาณมหาศาลไปแปรรูปเป็นปลาป่นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนของเสียให้เป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่าสูง หรือแม้แต่การนำไปใช้ประกอบอาหารในกลุ่มชาวพื้นเมืองบางส่วน

ในทำนองเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ที่มีการแพร่ระบาดในปี พ.ศ. 2558 ก็ได้ส่งเสริมการใช้ปลาหมอคางดำในอุตสาหกรรมอาหาร โดยมีการนำไปทำเป็นอาหารกระป๋องและส่งเสริมการบริโภคในตลาดสดและร้านอาหารทั่วไป เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวประมงจับปลาออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในทวีปยุโรปอย่างสเปนและโปรตุเกสที่ประสบปัญหาเดียวกัน ก็ได้ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตกปลาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และนำปลาเหล่านี้มาเป็นส่วนหนึ่งของเมนูอาหารในท้องถิ่น การนำ "การแปรรูป" มาเป็นยุทธศาสตร์หลักของไทย จึงสอดคล้องกับบทเรียนจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแปรรูปจะนำมาซึ่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่น่าดึงดูดใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องตอกย้ำตามข้อกำหนดทางกฎหมายคือจุดประสงค์หลักของการดำเนินการทั้งหมดนี้คือ "การลดจำนวนปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ"เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศดั้งเดิมของไทย ภาครัฐจึงต้องเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย และต้องมีการควบคุมอย่างเข้มข้นห้ามมิให้เกิด "การแอบเลี้ยงปลาหมอคางดำ"เพื่อหวังผลกำไรจากการแปรรูปโดยเด็ดขาด เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมวิกฤตให้เลวร้ายลงไปอีก

การลงพื้นที่ตรวจตราร้านอาหารต่างๆ ในจังหวัดที่พบการแพร่ระบาดอาจจำเป็น ไม่แน่ว่าจะพบแหล่งเลี้ยงปลาหมอคางดำขนาดใหญ่ ภายใต้การอ้างว่ากำลังถูกปลาหมอคางดำบุกเข้าบ่อเลี้ยงก็เป็นไปได้

ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นต้องมีเป้าหมายเพื่อการกำจัดและควบคุมจำนวนประชากรของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติเท่านั้น นี่คือตัวอย่างของการบริหารจัดการวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ การบูรณาการความร่วมมือข้ามหน่วยงานและการนำนวัตกรรมด้านการแปรรูปมาใช้ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประเทศไทยสามารถเปลี่ยน "ความท้าทาย" ให้กลายเป็น "โอกาสในการสร้างมูลค่าและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม" ได้อย่างลงตัว.




กำลังโหลดความคิดเห็น