xs
xsm
sm
md
lg

หลาย “ปลาสวย” ในตู้...สู่ตัวร้ายในสายน้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เป็นเรื่องเพลิดเพลินเสมอเมื่อนั่งมองสีสันอันสดใส ลวดลายหลากหลาย ของเหล่าปลาสวยงามที่แหวกว่ายในตู้กระจก มันคือความบันเทิง คือเครื่องประดับมีชีวิตที่สร้างความสุขได้ไม่น้อย แต่ในอีกด้านหนึ่งตู้ปลาเล็กๆ เหล่านี้กลายเป็น "ประตู" บานใหญ่ที่เปิดทางให้ "ผู้รุกราน" หน้าตาสวยงาม ก้าวออกมาทำลายล้างระบบนิเวศดั้งเดิมของเราอย่างเงียบเชียบ

ไม่ใช่แค่"ปลาหมอคางดำ"ที่กำลังเป็นข่าว แต่เรากำลังพูดถึงขบวนการสัตว์น้ำต่างถิ่น (Alien Species) ทั้งกองทัพ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น "ของรักของหวง" ราคาแพง ไม่ว่าจะเป็น"กุ้งเครย์ฟิช" (หรือกุ้งก้ามแดง) ที่เคยฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองจนล้นตลาด, "ปลาหมอบัตเตอร์"ตัวอ้วนกลมลายสวย, หรือแม้แต่ปลาดูดฝุ่นอย่าง"ปลาซักเกอร์"ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาการปล่อยทิ้ง




เรื่องราวของพวกมันมีจุดเริ่มต้นคล้ายกันอย่างน่าใจหาย นั่นคือ "ธุรกิจปลาสวยงาม"

ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินมหาศาล แต่ขณะเดียวกันมันก็คือ "ท่อน้ำเลี้ยง" หลักของปัญหาการรุกรานทางชีวภาพ ข้อมูลที่น่าตกใจจากแหล่งข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมเช่น สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. ที่ชี้ให้เห็นว่า ในบรรดาสัตว์ต่างถิ่นที่ได้รับอนุญาตนำเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายกลุ่มปลาสวยงามและสัตว์น้ำเพื่อการเพาะเลี้ยง ถือเป็นสัดส่วนที่สูงอย่างน่าใจหาย โดยอาจคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 70% ของชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่นที่นำเข้าทั้งหมด




ตัวเลข 70% นี้นับเฉพาะ "การนำเข้าอย่างถูกกฎหมาย" เท่านั้น

ทีนี้ลองจินตนาการถึง "ตลาดมืด" หรือ"ระบบการลักลอบนำเข้า"ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม นี่คือต้นตอที่แท้จริงของหายนะ เพราะมันคือการนำเข้าโดยไร้ซึ่งการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) ใดๆ ทั้งสิ้น สัตว์แปลกใหม่ที่ "แรร์" (หายาก) และ "ดุ" มักเป็นที่ต้องการของนักสะสมกลุ่มหนึ่ง การลักลอบนำเข้าจึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองดีมานด์นี้ โดยอาศัยช่องโหว่ของการตรวจสอบที่ชายแดน ทำให้สัตว์เหล่านี้หลุดรอดเข้ามาโดยที่รัฐไม่เคยรับรู้ล่วงหน้าว่ามันมีศักยภาพในการเป็นผู้รุกรานหรือไม่แต่แม้กระทั่งปลาที่นำเข้ามาอย่างถูกกฎหมาย ก็ยังสร้างปัญหาได้อยู่ดี

บทเรียนจากปลาหมอคางดำนั้นชัดเจนที่สุด ครั้งหนึ่งมันถูกนำเข้ามาขายในฐานะ "ปลาหมอสีคางดำ" อย่างเปิดเผย จนกระทั่งปี 2561 เมื่อภาครัฐตื่นตัวและออกกฎหมายห้ามครอบครอง ด้วยโทษปรับมหาศาล สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ความตื่นตระหนก" (Panic) บรรดาผู้เลี้ยงและพ่อค้าที่กลัวความผิด จึงเลือกทางออกที่ง่ายที่สุดคือ "การปล่อยผี" ทิ้งลงแหล่งน้ำธรรมชาติ นี่คือการซ้ำเติมปัญหาที่เกิดจากนโยบายที่ขาดการวางแผนรองรับ


เราจะปล่อยให้วงจร "นำเข้า - ฮิต - ล้นตลาด - ปล่อยทิ้ง - ระบาด" นี้วนซ้ำไปอีกนานแค่ไหน?

สิ่งที่ขาดหายไปอย่างรุนแรงคือ"มาตรฐานการจัดการที่รัดกุม"ตลอดทั้งห่วงโซ่ตั้งแต่ ณ ประตูนำเข้าที่การอนุญาตนำเข้าปลาสวยงามชนิดใหม่ๆ ควรต้องผ่านการประเมินความเสี่ยงเชิงรุกอย่างเข้มข้น ไม่ใช่แค่พิจารณาตามเอกสารที่ผู้ประกอบการยื่นมา ระบบการตรวจสอบและป้องกันที่ต้องมีเพื่อสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำแปลกใหม่ โดยเฉพาะที่มากับธุรกิจปลาสวยงาม นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายต้องยืดหยุ่นเมื่อประกาศแบนสัตว์ชนิดใด (เช่น ปลาหมอคางดำ) รัฐมีมาตรการ "ผ่อนปรน" หรือ "จุดรับทิ้ง" (Amnesty Points) ให้ผู้ครอบครองเดิมนำมาส่งมอบเพื่อทำลายอย่างถูกวิธีหรือไม่? อย่าให้กลายเป็นการบีบให้พวกเขาต้องแอบปล่อยปลาลงคลอง ปิดท้ายด้วย การควบคุมธุรกิจปลาสวยงาม โดยเฉพาะฟาร์มเพาะพันธุ์ ต้องมีมาตรฐานการป้องกันการหลุดรอด (Biosecurity) ที่เข้มงวด ไม่ใช่ใครนึกจะเพาะพันธุ์อะไรก็ได้เลย

ตราบใดที่ "ประตูหน้า" (การนำเข้าถูกกฎหมาย) ยังหละหลวม และ "ประตูหลัง" (การลักลอบ) ยังเปิดกว้าง โดยที่ภาครัฐไม่มีมาตรการจัดการ "ขยะมีชีวิต" เหล่านี้อย่างเป็นระบบ ความสวยงามในตู้กระจกก็จะยังคงทะลักออกมาเป็น "ตัวร้าย" ในสายน้ำ สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจการประมงอย่างไม่รู้จบ
กำลังโหลดความคิดเห็น