xs
xsm
sm
md
lg

ภาคประชาสังคมเชียงใหม่จับมือกลุ่มผู้ใช้น้ำและนักวิชาการตั้งวงหารือ พร้อมแถลงการณ์"9 เหตุผล ไม่ควรรื้อฝายพญาคำ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ – ภาคประชาสังคมเชียงใหม่ พร้อมกลุ่มผู้ใช้น้ำฝายพญาคำและนักวิชาการ จับมือแถลงการณ์ประกาศ “ 9 เหตุผล ไม่ควรรื้อฝาย” ย้ำชัดไม่ใช่ต้นตอหลักทำเชียงใหม่เผชิญวิกฤติน้ำท่วม และทำลายมรดกทางภูมิปัญญาวัฒนธรรม หลังหน่วยงานรัฐเร่งเดินหน้ารื้อฝายโบราณในแม่น้ำปิง แถมพยายามยัดเยียดให้เป็นผู้ร้าย


วันนี้(21 ก.ย.68) ที่จังหวัดเชียงใหม่ ภาคประชาสังคมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยกลุ่มผู้ใช้น้ำฝายพญาคำและนักวิชาการ ร่วมกันจัดวงประชุมสนทนาในหัวข้อ “การฟื้นฟูมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ระบบเหมืองฝายล้านนา ความท้าทาย และโอกาส” เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สะท้อนข้อห่วงใยและความกังวล พร้อมนำเสนอทางเลือกอื่นๆ เกี่ยวกับกรณีที่ทางราชการกำลังดำเนินโครงการรื้อฝายผญาคำ ซึ่งตั้งอยู่ในแม่น้ำปิง พื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 11 มี.ค.68 ที่เห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างน้ำในภาคเหนือแบบเร่งด่วน ครอบคลุมแม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่ และแม่น้ำกก-สาย จังหวัดเชียงราย ด้วยงบประมาณ 213 ล้านบาท

โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่นั้น ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนดังกล่าวจำนวน 171.4 ล้านบาท แบ่งเป็นการขุดลอกลำน้ำปิง 41 กิโลเมตร รวมขุดตะกอนกว่า 1.7 ล้านลูกบาศก์เมตร วงเงิน 157.6 ล้านบาท และรื้อฝายเก่า 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล วงเงิน 13.8 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาทางประชาสังคม และกลุ่มผู้ใช้น้ำ รวมทั้งนักวิชาการ ได้แสดงความเห็นคัดค้านเนื่องจากกังวลผลกระทบต่อกลุ่มผู้ใช้น้ำและการทำลายมรดกทางภูมิปัญหาวัฒนธรรม พร้อมเสนอแนะให้ปรึกษาหารือกันอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสมและเกิดผลดีที่สุดต่อทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามไม่เป็นผลและยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ในการประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า ฝายพญาคำ นั้น ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเชียงใหม่อย่างรุนแรง แต่มีต้นเหตุที่สำคัญอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากและควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนมากกว่า เช่น การบุกรุกพื้นที่ริมแม่น้ำปิง เป็นต้น พร้อมมีการนำเสนอรูปแบบการปรับปรุงสภาพฝายพญาคำ และปรับภูมิทัศน์โดยรอบให้เหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำได้ดีและใช้งบประมาณไม่เกิน 13 ล้านบาท น้อยกว่าที่จะใช้รื้อฝายด้วย โดยภายหลังการประชุมดังกล่าว นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานมูลนิธิสืบสานล้านนา และประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมการประชุม ได้ร่วมกันแถลงการณ์ “ 9 เหตุผล ไม่ควรรื้อฝาย” ประกอบด้วย

1. ฝายไม่ใช่สาเหตุหลักของน้ำท่วมเชียงใหม่ จากข้อมูลการล้นตลิ่งของแม่น้ำปิง จุดที่น้ำเริ่มเอ่อคือบริเวณสะพานภาค 5 ซึ่งอยู่ห่างจากฝายพญาคำไปทางท้ายน้ำราว 2.5 กิโลเมตร โดยสิ่งที่กีดขวางน้ำจริงๆ คือโครงสร้างตอม่อสะพานและการรุกล้ำลำน้ำ หากฝายพญาคำเป็นต้นเหตุ น้ำควรจะท่วมตั้งแต่บริเวณฝายก่อนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดน้ำท่วม เช่น ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ป่าต้นน้ำที่หายไป พื้นที่เมืองกลายเป็นคอนกรีต ลำน้ำสายรองถูกตัดขาด แม่น้ำปิงแคบลงจากการรุกล้ำ รวมถึงถนนที่กีดขวางทางน้ำ ดังนั้น การกล่าวโทษฝายพญาคำ หรือคาดหวังว่าการขุดลอกและรื้อฝายจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมทั้งหมด จึงอาจไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง และยังเสี่ยงสร้างความคาดหวังเกินจริง

2. ประสิทธิภาพการระบายน้ำของฝายพญาคำไม่ได้เป็นปัญหา ปัจจุบันฝายกว้าง 96 เมตร จากเดิม 130 เมตร โดยสาเหตุที่แคบลงมาจากการทำคันดินล้ำเข้ามาในแม่น้ำของหน่วยงานรัฐ ส่งผลให้พื้นที่ระบายน้ำก่อนระดับล้นตลิ่ง (+3.70 ที่จุด P1) เหลือราว 239 ตร.ม. ซึ่งยังมากกว่าพื้นที่ใต้สะพานภาค 5 ที่มีเพียง 144 ตร.ม. หากมีการคืนพื้นที่ฝายให้กว้างเท่าเดิม 130 เมตร จะทำให้พื้นที่ระบายน้ำเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ตร.ม. ซึ่งไม่ได้น้อยไปกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่ในเมือง


3. ข้อมูลการยกตัวของน้ำและการสะสมตะกอนที่ใช้เป็นเหตุผลในการรื้อฝาย เป็นเพียงการเปรียบเทียบโดยประมาณ ไม่ใช่การคำนวณที่สะท้อนสภาพจริง การทดลองที่ใช้ระบบปิดและควบคุมให้แม่น้ำเป็นเส้นตรงทั้งหมด ไม่สามารถนำมาเทียบกับสภาพแม่น้ำจริงที่มีความกว้าง แคบ โค้ง สูง ต่ำต่างกันในแต่ละจุดได้ ดังนั้นจึงไม่อาจสรุปผลแบบเดียวกันได้ อีกทั้งการประเมินการระบายน้ำควรทำจากภาพตัดขวางของแม่น้ำในแต่ละช่วง จึงจะสะท้อนประสิทธิภาพที่แท้จริง ส่วนการกล่าวว่าฝายเป็นตัวสะสมตะกอนก็ยังเป็นเพียงหลักการ ยังไม่มีข้อมูลเชิงวัดผลหรือการคำนวณผลกระทบที่ชี้ชัด และถึงแม้จะมีตะกอนสะสม หากมีการออกแบบพื้นที่อย่างเหมาะสม ก็สามารถจัดการขุดลอกตะกอนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมเมืองได้ โดยไม่จำเป็นต้องรื้อฝาย

4. กระทบมรดกภูมิปัญญา ‘ภูมิปัญญาการทำเหมืองฝาย’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในสาขา ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ในระดับชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2558 และต่อมาในปี พ.ศ. 2559 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ตามมาตรา 25 มรดกที่ขึ้นทะเบียนก่อนวันบังคับใช้กฎหมายจะถือเป็นมรดกที่อยู่ในบัญชีตามพระราชบัญญัติ ฉะนั้นภูมิปัญญาการทำเหมืองฝาย จึงได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการและอยู่ภายใต้หน้าที่ต้องได้รับการส่งเสริมและรักษาตามมาตรา 4 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้

5. เสียประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พื้นที่บริเวณฝายปัจจุบันได้สร้างระบบนิเวศย่อยที่เอื้อต่อการอนุบาลสัตว์น้ำตามธรรมชาติและช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่พักผ่อนและพื้นที่ทางสังคมของคนหลากหลายกลุ่ม การพัฒนาฝายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำพร้อมกับรักษาประโยชน์เชิงสิ่งแวดล้อม เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแม่น้ำ และพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาการจัดการน้ำแบบล้านนา จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและทำได้หากมีการออกแบบปรับปรุงพื้นที่อย่างเหมาะสม


6. กระบวนการมีส่วนร่วมไม่รอบด้าน การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นภายใต้โครงการขุดลอกและรื้อฝายเป็นไปโดยหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ ซึ่งให้ข้อมูลสนับสนุนการรื้อเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดข้อกังขาเรื่องความเป็นกลาง (conflict of interest) กระบวนการมีส่วนร่วมที่เหมาะสมควรจัดโดยองค์กรที่เป็นกลาง ให้ข้อมูลครบทุกมิติ พิจารณาทางเลือกหลากหลาย และประเมินผลกระทบจากทางเลือกแต่ละทางอย่างรอบด้าน

7. ต้องมีระบบน้ำสำรองหลายแบบ แม้โครงการขุดลอกและรื้อฝายจะเตรียมผันน้ำเข้าลำเหมืองผ่านประตูระบายน้ำท่าวังตาล ซึ่งอยู่ห่างจากฝายพญาคำไปท้ายน้ำราว 3.8 กิโลเมตร แต่หลักการของเมืองที่มีความสามารถในการปรับตัว (Resilience city) ระบุว่าไม่ควรพึ่งพาระบบใดเพียงระบบเดียว หากประตูน้ำมีปัญหา จะต้องมีระบบสำรองให้น้ำเลี้ยงเหมืองได้ต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้เครื่องสูบน้ำที่สิ้นเปลืองงบประมาณและต้องดูแลรักษา กับระบบเหมืองฝายที่นอกจากจะจัดการน้ำได้แล้วยังสร้างคุณค่าในเชิงวัฒนธรรม การมีส่วนร่วม และสิ่งแวดล้อม โดยมีต้นทุนต่ำกว่า การฟื้นฟูเหมืองฝายจึงน่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่าในระยะยาว

8. ไม่ควรตัดขาดรากเหง้าวัฒนธรรม เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และรากฐานทางวัฒนธรรมต่อเนื่องยาวนานกว่า 700 ปี ระบบเหมืองฝายถือเป็นมรดกภูมิปัญญาที่สืบสานมาถึงปัจจุบัน การพัฒนาที่เหมาะสมควรใช้ความรู้ใหม่มาต่อยอด ไม่ใช่การตัดทิ้งภูมิปัญญาเดิมแล้วนำสิ่งใหม่มาแทน

9. ควรเปิดการมีส่วนร่วมสูงสุด ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าต้องแก้ไข แต่แนวทางที่เหมาะสมไม่ใช่การรื้อฝายหรือปล่อยทิ้งไว้ตามเดิม หากแต่ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น เมืองเชียงใหม่เต็มไปด้วยผู้คนที่รักบ้านเมืองและมีความรู้หลากหลาย การดำเนินการของรัฐที่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม จึงควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งในการคิด วางแผน ดำเนินการ รับประโยชน์ และประเมินผล โดยกรณีฝายพญาคำและปัญหาน้ำท่วมนั้น การตั้งคณะทำงานที่รวมภาคส่วนต่างๆ มาร่วมกันศึกษา ออกแบบ และวางแผน น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม และวางรากฐานการทำงานร่วมกันอย่างยั่งยืนในอนาคต


















กำลังโหลดความคิดเห็น