xs
xsm
sm
md
lg

“สวนเสือศรีราชา ”ลั่นปี48เดินหน้าฟื้นตลาดท่องเที่ยว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวศรีราชา -ผู้บริหารสวนเสือศรีราชา ประกาศเดินหน้าฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยว พร้อมพัฒนาส่วนต่างๆ และจะย้ายศูนย์เพาะพันธุ์เสือ ป้องกันการเกิดมลภาวะ หลังไข้หวัดนก-สึนามิ ทำยอดทัวร์ปลายปี 2547 หาย เผยแม้ต้องเลื่อนเวลาเข้ากระจายหุ้นในตลาด หลักทรัพย์ฯออกไปเป็นปี 49 แต่ก็มั่นใจว่ากระแสตลาดจะกลับมาดีดังเดิม

โดยรายได้ที่จะใช้ ในการพัฒนาสวนเสือศรีราชา ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่เข้าไปเปิดสวนสัตว์ร่วมกับทางการจีน ในเมืองไหหลำและการส่งออกหนังจระเข้

นายไมตรี เต็มศิริพงษ์ ประธานกรรมการบริษัท ศรีราชา ไทเกอร์ ซู จำกัด (สวนเสือศรีราชา ) เปิดเผยถึงการดำเนินงานในปี 2548 ว่าจะเน้นการพัฒนาด้านต่างๆ ควบคู่กับการฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่หายไป ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไข้หวัดนกระบาดในเสือโคร่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 จนบริษัทฯ ต้องกำจัดเสือที่ติดเชื้อจำนวน 147 ตัว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในส่วนอื่น

นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ประเทศไทยยังต้องประสบปัญหาคลื่นยักษ์สึนามิ ถล่มพื้นที่ 6 จังหวัดในพื้นที่อันดามัน ทำให้กรุ๊ปทัวร์ต่างชาติยกเลิกโปรแกมท่องเที่ยวในประเท ศ ส่งผลให้จำนวน นักท่องเที่ยวในสวนเสือศรีราชาลดน้อยลงมากกว่าเดิม

ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว บริษัทฯจึงมีแผนย้ายพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์เสือโคร่งออกจากส่วนให้บริการ โดยจะย้ายไป อยู่ในพื้นที่ด้านหลังที่มีขนาดใหญ่ และจัดทำเป็นฟาร์มอย่างดีและจะนำเฉพาะลูกเสือออกมาแสดง ให้กับนักท่องเที่ยวเพื่อแก้ปัญหาเรื่องระบบนิเวศน์

นอกจากนี้ในเรื่องการคัดสรรอาหารของเสือและจระเข้ บริษัทฯได้ร่วมมือกับศูนย์ตรวจโรค ติดต่อภาคตะวันออก สุ่มตรวจโครงไก่จากโรงงาน ที่นำไก่มาส่งให้กับสวนเสือศรีราชาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อทดสอบมาตรฐานของไก่ ก่อนนำมาให้เสือและจระเข้กิน

ที่สำคัญยังกำหนดให้ผู้ส่งจะต้องใช้รถแช่ เย็น ขนโครงไก่ออกจากโรงงานเพื่อนำมาส่งให้ ขณะที่สวนเสือศรีราชา ก็นำเครื่องอบไก่สุก เข้ามาใช้ อบไก่ก่อนนำให้เสือและจระเข้กินเช่นกัน

“ เรื่องไข้หวัดนกระบาดในเสือ เกิดจากเรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ และคิดว่าโรงงานที่นำโครงไก่ มาส่งให้ได้มาตรฐานทั้งหมด ทำให้เราไม่มีการตรวจสอบที่เข็มงวด แต่นับจากนี้ไปเราได้กำหนด ให้ผู้ค้าต้องปรับมาตรฐานโรงฆ่าและโรงชำแหละ เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เราสูญเสียรายได้จากการจำหน่ายบัตรมากถึง 20 ล้านบาท และยังมีผลให้ยอดรายได้ของบริษัทฯ ที่วางไว้ตลอดทั้งปี 200 ล้านบาท ลดเหลือเพียง 180 ล้านบาท ”

ทั้งนี้ยอดความสูญเสียที่เกิดขึ้น 20 ล้านบาท เป็นเพียงยอดรายได้ที่มาจากการจำหน่ายบัตรเท่านั้น ไม่นับรวมตัวเลขความสูญเสียที่ต้องกำจัดเสือโคร่งอีก 100 กว่าตัว และงบประมาณส่วนหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ในการฟื้นฟูพื้นที่ภายใน

นายไมตรี เปิดเผยอีกว่า ในปี 2548 บริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดโครงการไนท์ ซู ที่จะมีทั้งการแสดง ศูนย์รวมอาหารและภัตตาคารทั้งไทย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และยังเป็นศูนย์รวมการแสดงทาง วิชาการเกี่ยวกับจระเข้สายพันธุ์ต่างๆ จากทั่วโลก

โดยในปี 2547 บริษัทฯได้ใช้งบประมาณ จำนวน 160 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารรูปทรงจระเข้สูง 3 ชั้น ขนาด 300 เมตร ในเนื้อที่ 20 ไร่ ซึ่งจะมีทะเลสาบขนาดใหญ่ล้อมรอบ และบริเวณแนวทะเลสาบจะสร้างภูเขาเพื่อให้เสือกว่า 100 ตัวยืนเข้าแถวดูการแสดงด้านล่างรองรับการเปิดไนท์ ซู ซึ่งโครงการดังกล่าวมีแผนเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงปลายปี 2547 แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะเกิดวิกฤตต่างๆ

สำหรับโครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่กลุ่มนักท่อง เที่ยวชาวไทย ในพื้นที่อำเภอศรีราชาและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเดินทางมากับกรุ๊ปทัวร์ได้แวะพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ทั้งนี้พื้นที่อำเภอศรีราชา ยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวในลักษณะเปิดแสดง แสง สี และเต้นรำ ซึ่งโครงการไนท์ ซู จะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 18.00 –22.00 น.

ส่วนอาคารจระเข้ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ดำเนินการทั้งหมด 6 พันตารางเมตร แบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือชั้นหนึ่ง จะจัดเป็นห้องครัว ชั้น 2 เป็นส่วนชมการแสดง และส่วนแสดงข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับ จระเข้สายพันธุ์ต่างๆ จากทั่วโลก โดยจะจัดแสดงพื้นที่ป่าโซนร้อนคั่นกลาง ส่วนพื้นที่ชั้นที่ 3 จัดทำ เป็นพื้นที่ดาดฟ้าสำหรับชมการแสดง และส่วนฟาสฟู้ด ที่จะมีบูทอาหารต่างๆ เปิดให้บริการประมาณ 150 บูท และยังคาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 4 ปี จึงจะถึงจุดคุ้มทุน

“ ในแง่ของการตลาด หากไม่เกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ก็คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวของเราจะกลับสู่ภาวะปกติในเดือนมกราคม 2548 แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น การขยายเวลาปรับตัวเลข นักท่องเที่ยวก็ต้องเลื่อนออกไป แต่เราก็มั่นใจว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติโดยเร็ว เพราะต่างชาติมี ความซาบซึ่งใจในการให้ความช่วยเหลือของคนไทยมาก และรัฐบาลก็แก้ปัญหานี้ได้ดี โดยหากไม่ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก เราคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวในปีนี้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 30 %”

นายไมตรี ยังเผยถึงการเข้ากระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ฯ ที่เดิมมีแผนเข้ากระจายหุ้นในปี 2548 ว่าต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2549 เพราะต้องใช้เวลาตลอดทั้งปี ในการสร้างตลาดต่างประเทศ และ ปรับปรุงการดำเนินงานภายใน เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว

ที่สำคัญในปีนี้ บริษัทฯ ยังเร่ง พัฒนาสวนสัตว์เปิดในเกาะไหหลำ ที่ร่วมลงทุนกับรัฐบาลจีนด้วย มูลค่ารวม 400 ล้านบาท และจากการเปิดดำเนินการในปีที่แล้ว บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการในส่วนนี้ถึง 30 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2548 ยอดรายได้จะมีมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว

“ช่วงที่นักท่องเที่ยวหายไป เราก็มีรายได้เลี้ยงตัวจากการส่งพันธุ์จระเข้ไปขายที่ประเทศจีน และการส่งออกเครื่องหนัง กระเป๋า รวมทั้งเข้าไปลงทุนให้บริการสวนสัตว์เปิด และศูนย์วิชาการที่เกาะไหหลำในพ้นที่ 500 ไร่ และในปีนี้เราคาดว่ารายได้ที่จะมาจาก 2 ส่วนนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการนำมาพัฒนาสวนเสือศรีราชา อีกด้วย ” นายไมตรี กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น