ตราด-จุฬาราชมนตรีชี้ปัญหาภาคใต้เกิดจากความไม่เท่าเทียม ทางภาษา ศาสนา ระบุราชการไม่ยึดหลักรัฐธรรมนูญ ที่ให้ความเท่าเทียมและเสรีภาพ เผยในหลวง-ราชินี-เชื้อพระวงศ์ มีส่วนช่วยอย่างมากให้เกิดความสามัคคี ขณะที่รัฐบาล ปรับแนวแก้ปัญหาภาคใต้ ปรับ ครม. น่าจะทำให้ปัญหาดีขึ้น
วันนี้ (6 ต.ค.) เวลา 09.00 น. นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี เดินทางมาเป็นประธานพิธี “คืนคนดีสู่สังคม ชุมชนเข้มแข็ง” ที่บ้านหมู่ 2 บ้านแหลมทองหลาง ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด มีนายบุญช่วย เกิดสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ นายก อบจ.ตราด พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และนายอนันต์ ปานทับ ประธานประชาคมหมู่บ้านแหลมทองหลาง นายโซ๊ด ฉัยริต ผู้ใหญ่บ้าน นายมานะ วรรณกาภพ อิหม่ามมัสยิดนุรุ้ลนุบีม และประชาชนชาว แหลมทองหลางจำนวน 500 คนร่วมงาน
จุฬาราชมนตรี ขึ้นกล่าวเปิดงานว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะชาวแหลมทองหลาง ซึ่งปฏิญาณไม่เกี่ยวกับข้องกับยาเสพติด เพราะเหตุว่าเป็นภัยร้ายแรงของสังคม ใครติดยาเสพติดจะ ส่งผลกระทบต่อสติ และความนึกคิดที่ผ่านมาได้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมากมาย จนทำให้บุตรหลานของชาวอิสลาม หลายคนที่เคยประสบมาฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เพื่อนำเงินมาซื้อยาเสพติด ซึ่งคนเหล่านี้เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
เนื่องจากสัตว์ยังไม่เคยฆ่าผู้ให้กำเนิด แต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ จึงควรมีสติยับยั้งในเรื่องนี้ ซึ่งคำกล่าวของในหลวงที่ทุกคนเคยปฏิญาณว่า “รักในหลวง ห่วงลูกหลาน ช่วยกันต้านยาเสพติด”นั้น เป็นคำปฏิญาณที่ดี แต่คน 60 ล้านคนก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่รักในหลวง เพราะว่ายาเสพติดไม่ได้หมดไป กลับมีและแพร่ระบาด ไปในหลายส่วนทั้งในและนอกโรงเรียน แม้กระทั่งในเรือนจำก็ยังมี หากไม่มีเจ้าหน้าที่ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยาบ้าเหล่านี้จะเข้าไปในเรือนจำได้อย่างไร
การที่นายกฯออกมาปราบยาเสพติดเป็นครั้งที่ 2 นี้ แสดงว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วง จึงควรที่ทุกฝ่ายจะต้องเข้ามาร่วมมือ แก้ปัญหายาเสพติดไปพร้อมๆ กัน
จุฬาราชมนตรี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาปัญหายาเสพติดได้ชักนำให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมาย ทำให้เกิดสังคมที่เสื่อม ศีลธรรมที่เสื่อมจนคนเราไม่มีคุณธรรม ในสังคม ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมที่แพร่มาจากต่างประเทศ ก็ได้สร้างปัญหาให้กับ เยาวชนคนไทยมากมาย ทั้งในเรื่องของการติดเชื้อเอดส์ที่มีนับล้านคน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ส่วนหนึ่งก็ติดยาเสพติด แสดงให้เห็นว่าคนไทยเริ่มมีความเสื่อมด้านวัฒนธรรม และสังคมมากขึ้น ยังโชคดีที่คนไทยยังมีในหลวง และราชวงศ์ ที่ให้ความสำคัญต่อปัญหาเหล่านี้ ทำให้สังคมไทยไม่เลวร้ายไปกว่านี้
ที่ผ่านมากษัตริย์ไทยในประวัติศาสตร์ก็สามารถช่วยเหลือจรรโลงประเทศชาติตลอดโดยไม่ตกเป็นประเทศขึ้นของใคร ชาวมุสลิมก็เช่นกันในประวัติศาสตร์ ก็ช่วยเหลือประเทศไทยในช่วงที่ญี่ปุ่นมารุกรานสมัยพระเจ้าทรงธรรมและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วันนี้พระมหากษัตริย์ไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศในเรื่องของความอุตสาหะ มานะและช่วยแก้ปัญหาของราษฎรในทุกเรื่อง
“ขณะนี้มีปัญหาที่ภาคใต้ เกิดความแตกแยกทางด้านความสามัคคีและเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องของศาสนา สมเด็จพระราชินี ก็ได้ทรงเสด็จไปพำนักอยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนชาวภาคใต้ ให้เกิดสันติสุข นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สูงล้นกับชาวมุสลิมทุกคน”
ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้มาจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำมันเถื่อนที่มีราคาถูก พวกเจ้าพ่อ หรือผู้ค้าน้ำมัน นำน้ำมันมาจากอ่าวเปอร์เซีย แต่มีผู้ไปขัดขวางจึงจ้างพวกที่ติดยาไปยิงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และโยนความผิดมา ให้ชาวมุสลิม หรือ พวกเจ้าพ่อการพนันที่มีบ่อนพนันเหมือนกับที่ฝั่งปอยเปต ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมก็จ้างคนมายิงตำรวจแล้วโยนความผิดให้กับชาวมุสลิม หรือการเปิดร้านคาราโอเกะ เมื่อผู้ประกอบการเปิดเกินเวลา ตำรวจเข้าไปจับกุมก็ถูกพวกผู้ประกอบการมีอิทธิพลมาทำร้าย หรือจ้างยิง เลยทำให้ชาวมุสลิมเป็นแพะรับบาปในปัญหาต่าง ๆ
เมื่อมีการแก้ปัญหาอย่างไม่ถูกวิธี จึงเกิดเหตุบานปลายไปเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นการต่อสู้ทางด้านความเชื่อของทางศาสนาไปแล้ววันนี้ ดังนั้น การที่รัฐบาลได้มีการปรับแนวทางในการ แก้ปัญหาภาคใต้ในขณะนี้ จึงนับว่าเดินทางมาถูกต้องแล้ว การที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาที่ภาคใต้ให้เบ็ดเสร็จนั้นจะต้องมี เงินในการ สร้างอาชีพ และลดความรู้สึกที่เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา เปรียบเหมือนกับการปราบจระเข้ รู้ว่าการปราบจระเข้นั้นยากก็ควรจะต้องรู้วิธีในการปราบ ไม่ใช่เข้ามากวนน้ำให้ขุ่นแล้วเลิกไป ปัญหาก็ไม่จบและก็จะ ทำให้บดบังปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ จนไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ถูกทาง
จุฬาราชมนตรี กล่าวต่อว่า ช่องทางในการแก้ปัญหาภาคใต้ผู้ปกครองควร จะยึดการแก้ปัญหาตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้มีการบัญญัติไว้ในหลายมาตราเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนเช่นมาตราที่ 5 บัญญัติไว้ว่า ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใดย่อมอยู่ในความคุ้มครองนี้เสมอกัน แต่คนภาคใต้ เป็นพลเมืองชั้น 2 ตามความรู้สึกของผู้ปกครอง เพราะพูดภาษายาวี นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้มีความรู้สึกแตกแยก แตกความสามัคคี
แต่ทำไมพวกข่า พวกกะเหรี่ยงในทางภาคเหนือ จึงได้มีการยอมรับว่าเป็นคนไทย คนไทยต้องนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งก็ไม่จำเป็นเลย เพราะไม่มีศาสดาองค์ใดเกิดในประเทศไทย ศาสนาคริสต์ ก็เกิดที่เยรูซาเร็ม ศาสนาพุทธเกิดที่อินเดีย ศาสนาอิสลามเกิดที่อาหรับ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ระบุมาชัดเช่นนี้ ข้าราชการและผู้ปกครองต้องปฏิบัติ ให้เสมอเหมือนกัน
การแก้ปัญหาในภาคใต้นั้นทุกส่วนภาคราชการ ทหารและตำรวจ ควรจะนำแนวทางการแก้ปัญหาจากพระเสาวนีย์ของสมเด็จพระราชินี โดยขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ให้ความรัก ความเอื้ออาทรระหว่างกันให้มาก ที่ผ่านมาทั้ง วัด โบสถ์ มัสยิด แม้จะอยู่ติดกันก็ยังไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งกันหรือมีใครมายุยงให้เกิดปัญหาระหว่างกัน ดังนั้น ส่วนราชการจะต้องคำนึงถึงในเรื่องนี้ให้มาก
ส่วนการปรับ ครม.เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้นั้น จุฬาราชมนตรี ระบุว่า รัฐบาลกำลังหาทางที่ดีที่สุดในการที่แก้ปัญหาของภาคใต้ แต่ตนเองจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของการปกครอง เพราะเป็นคนละหน้าที่กัน ตนเองมีหน้าที่ในเรื่องของการสอนด้านศีลธรรม จึงไม่ควรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องมากนัก แต่สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำให้เร็วที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามพระราชเสาวนีย์ องค์ราชินี และในหลวง ที่พระองค์ท่านลงมาแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่าย ซึ่งมีโครงการมากกว่า 3,000 โครงการ เพื่อมาสร้างสันติสุขให้เกิดกับพี่น้องชาวภาคใต้ และรัฐบาลควรจะทำเป็นแบบอย่างให้หน่วยราชการอื่นได้เห็น
และการได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินี ที่ผ่านมานั้นตนได้กราบทูลปัญหาต่างๆ ของพี่น้องชาวภาคใต้ให้พระราชินีทราบในทุกเรื่อง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และขอเป็นความลับ อย่างไรก็ตามก่อนที่สมเด็จพระราชินี จะเสด็จกลับตนจะเดินทางไปเข้าเฝ้าอีกครั้ง
ปัญหาที่มีความสำคัญอีกเรื่อง คือ ปัญหาการสื่อสารของสื่อมวลชนและประชาชนที่สื่อมวลชนมักจะยัดเยียดความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับพี่น้องชาวภาคใต้ เช่น มีการระบุว่า โจรมุสลิม หรือระบุในทำนองให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เช่นคำว่า แขก เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและควรที่จะแยกแยะ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องของความรู้สึก และควรให้ความเป็นธรรมกับชาวมุสลิมด้วย
“ทำไมศาสนาอื่น เช่น โจรพุทธ โจรคริสต์บ้าง ดังนั้น สื่อมวลชนจึงควรใช้สติและความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อทุกชาติและศาสนาเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่รักและสามัคคีต่อกัน”จุฬาราชมนตรี กล่าว
วันนี้ (6 ต.ค.) เวลา 09.00 น. นายสวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี เดินทางมาเป็นประธานพิธี “คืนคนดีสู่สังคม ชุมชนเข้มแข็ง” ที่บ้านหมู่ 2 บ้านแหลมทองหลาง ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด มีนายบุญช่วย เกิดสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายวิเชียร ทรัพย์เจริญ นายก อบจ.ตราด พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และนายอนันต์ ปานทับ ประธานประชาคมหมู่บ้านแหลมทองหลาง นายโซ๊ด ฉัยริต ผู้ใหญ่บ้าน นายมานะ วรรณกาภพ อิหม่ามมัสยิดนุรุ้ลนุบีม และประชาชนชาว แหลมทองหลางจำนวน 500 คนร่วมงาน
จุฬาราชมนตรี ขึ้นกล่าวเปิดงานว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะชาวแหลมทองหลาง ซึ่งปฏิญาณไม่เกี่ยวกับข้องกับยาเสพติด เพราะเหตุว่าเป็นภัยร้ายแรงของสังคม ใครติดยาเสพติดจะ ส่งผลกระทบต่อสติ และความนึกคิดที่ผ่านมาได้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมากมาย จนทำให้บุตรหลานของชาวอิสลาม หลายคนที่เคยประสบมาฆ่าพ่อ ฆ่าแม่เพื่อนำเงินมาซื้อยาเสพติด ซึ่งคนเหล่านี้เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
เนื่องจากสัตว์ยังไม่เคยฆ่าผู้ให้กำเนิด แต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ จึงควรมีสติยับยั้งในเรื่องนี้ ซึ่งคำกล่าวของในหลวงที่ทุกคนเคยปฏิญาณว่า “รักในหลวง ห่วงลูกหลาน ช่วยกันต้านยาเสพติด”นั้น เป็นคำปฏิญาณที่ดี แต่คน 60 ล้านคนก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่รักในหลวง เพราะว่ายาเสพติดไม่ได้หมดไป กลับมีและแพร่ระบาด ไปในหลายส่วนทั้งในและนอกโรงเรียน แม้กระทั่งในเรือนจำก็ยังมี หากไม่มีเจ้าหน้าที่ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ยาบ้าเหล่านี้จะเข้าไปในเรือนจำได้อย่างไร
การที่นายกฯออกมาปราบยาเสพติดเป็นครั้งที่ 2 นี้ แสดงว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วง จึงควรที่ทุกฝ่ายจะต้องเข้ามาร่วมมือ แก้ปัญหายาเสพติดไปพร้อมๆ กัน
จุฬาราชมนตรี กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาปัญหายาเสพติดได้ชักนำให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมาย ทำให้เกิดสังคมที่เสื่อม ศีลธรรมที่เสื่อมจนคนเราไม่มีคุณธรรม ในสังคม ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมที่แพร่มาจากต่างประเทศ ก็ได้สร้างปัญหาให้กับ เยาวชนคนไทยมากมาย ทั้งในเรื่องของการติดเชื้อเอดส์ที่มีนับล้านคน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ส่วนหนึ่งก็ติดยาเสพติด แสดงให้เห็นว่าคนไทยเริ่มมีความเสื่อมด้านวัฒนธรรม และสังคมมากขึ้น ยังโชคดีที่คนไทยยังมีในหลวง และราชวงศ์ ที่ให้ความสำคัญต่อปัญหาเหล่านี้ ทำให้สังคมไทยไม่เลวร้ายไปกว่านี้
ที่ผ่านมากษัตริย์ไทยในประวัติศาสตร์ก็สามารถช่วยเหลือจรรโลงประเทศชาติตลอดโดยไม่ตกเป็นประเทศขึ้นของใคร ชาวมุสลิมก็เช่นกันในประวัติศาสตร์ ก็ช่วยเหลือประเทศไทยในช่วงที่ญี่ปุ่นมารุกรานสมัยพระเจ้าทรงธรรมและสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วันนี้พระมหากษัตริย์ไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาประเทศในเรื่องของความอุตสาหะ มานะและช่วยแก้ปัญหาของราษฎรในทุกเรื่อง
“ขณะนี้มีปัญหาที่ภาคใต้ เกิดความแตกแยกทางด้านความสามัคคีและเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องของศาสนา สมเด็จพระราชินี ก็ได้ทรงเสด็จไปพำนักอยู่ที่พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนชาวภาคใต้ ให้เกิดสันติสุข นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่สูงล้นกับชาวมุสลิมทุกคน”
ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้มาจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องน้ำมันเถื่อนที่มีราคาถูก พวกเจ้าพ่อ หรือผู้ค้าน้ำมัน นำน้ำมันมาจากอ่าวเปอร์เซีย แต่มีผู้ไปขัดขวางจึงจ้างพวกที่ติดยาไปยิงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และโยนความผิดมา ให้ชาวมุสลิม หรือ พวกเจ้าพ่อการพนันที่มีบ่อนพนันเหมือนกับที่ฝั่งปอยเปต ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมก็จ้างคนมายิงตำรวจแล้วโยนความผิดให้กับชาวมุสลิม หรือการเปิดร้านคาราโอเกะ เมื่อผู้ประกอบการเปิดเกินเวลา ตำรวจเข้าไปจับกุมก็ถูกพวกผู้ประกอบการมีอิทธิพลมาทำร้าย หรือจ้างยิง เลยทำให้ชาวมุสลิมเป็นแพะรับบาปในปัญหาต่าง ๆ
เมื่อมีการแก้ปัญหาอย่างไม่ถูกวิธี จึงเกิดเหตุบานปลายไปเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นการต่อสู้ทางด้านความเชื่อของทางศาสนาไปแล้ววันนี้ ดังนั้น การที่รัฐบาลได้มีการปรับแนวทางในการ แก้ปัญหาภาคใต้ในขณะนี้ จึงนับว่าเดินทางมาถูกต้องแล้ว การที่รัฐบาลจะแก้ปัญหาที่ภาคใต้ให้เบ็ดเสร็จนั้นจะต้องมี เงินในการ สร้างอาชีพ และลดความรู้สึกที่เกิดความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา เปรียบเหมือนกับการปราบจระเข้ รู้ว่าการปราบจระเข้นั้นยากก็ควรจะต้องรู้วิธีในการปราบ ไม่ใช่เข้ามากวนน้ำให้ขุ่นแล้วเลิกไป ปัญหาก็ไม่จบและก็จะ ทำให้บดบังปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ จนไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ถูกทาง
จุฬาราชมนตรี กล่าวต่อว่า ช่องทางในการแก้ปัญหาภาคใต้ผู้ปกครองควร จะยึดการแก้ปัญหาตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ได้มีการบัญญัติไว้ในหลายมาตราเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนเช่นมาตราที่ 5 บัญญัติไว้ว่า ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใดย่อมอยู่ในความคุ้มครองนี้เสมอกัน แต่คนภาคใต้ เป็นพลเมืองชั้น 2 ตามความรู้สึกของผู้ปกครอง เพราะพูดภาษายาวี นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้มีความรู้สึกแตกแยก แตกความสามัคคี
แต่ทำไมพวกข่า พวกกะเหรี่ยงในทางภาคเหนือ จึงได้มีการยอมรับว่าเป็นคนไทย คนไทยต้องนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งก็ไม่จำเป็นเลย เพราะไม่มีศาสดาองค์ใดเกิดในประเทศไทย ศาสนาคริสต์ ก็เกิดที่เยรูซาเร็ม ศาสนาพุทธเกิดที่อินเดีย ศาสนาอิสลามเกิดที่อาหรับ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ระบุมาชัดเช่นนี้ ข้าราชการและผู้ปกครองต้องปฏิบัติ ให้เสมอเหมือนกัน
การแก้ปัญหาในภาคใต้นั้นทุกส่วนภาคราชการ ทหารและตำรวจ ควรจะนำแนวทางการแก้ปัญหาจากพระเสาวนีย์ของสมเด็จพระราชินี โดยขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ให้ความรัก ความเอื้ออาทรระหว่างกันให้มาก ที่ผ่านมาทั้ง วัด โบสถ์ มัสยิด แม้จะอยู่ติดกันก็ยังไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งกันหรือมีใครมายุยงให้เกิดปัญหาระหว่างกัน ดังนั้น ส่วนราชการจะต้องคำนึงถึงในเรื่องนี้ให้มาก
ส่วนการปรับ ครม.เพื่อแก้ปัญหาภาคใต้นั้น จุฬาราชมนตรี ระบุว่า รัฐบาลกำลังหาทางที่ดีที่สุดในการที่แก้ปัญหาของภาคใต้ แต่ตนเองจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องของการปกครอง เพราะเป็นคนละหน้าที่กัน ตนเองมีหน้าที่ในเรื่องของการสอนด้านศีลธรรม จึงไม่ควรที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องมากนัก แต่สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำให้เร็วที่สุดก็คือ การปฏิบัติตามพระราชเสาวนีย์ องค์ราชินี และในหลวง ที่พระองค์ท่านลงมาแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่าย ซึ่งมีโครงการมากกว่า 3,000 โครงการ เพื่อมาสร้างสันติสุขให้เกิดกับพี่น้องชาวภาคใต้ และรัฐบาลควรจะทำเป็นแบบอย่างให้หน่วยราชการอื่นได้เห็น
และการได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินี ที่ผ่านมานั้นตนได้กราบทูลปัญหาต่างๆ ของพี่น้องชาวภาคใต้ให้พระราชินีทราบในทุกเรื่อง แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และขอเป็นความลับ อย่างไรก็ตามก่อนที่สมเด็จพระราชินี จะเสด็จกลับตนจะเดินทางไปเข้าเฝ้าอีกครั้ง
ปัญหาที่มีความสำคัญอีกเรื่อง คือ ปัญหาการสื่อสารของสื่อมวลชนและประชาชนที่สื่อมวลชนมักจะยัดเยียดความรู้สึกที่ไม่ดีให้กับพี่น้องชาวภาคใต้ เช่น มีการระบุว่า โจรมุสลิม หรือระบุในทำนองให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เช่นคำว่า แขก เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและควรที่จะแยกแยะ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องของความรู้สึก และควรให้ความเป็นธรรมกับชาวมุสลิมด้วย
“ทำไมศาสนาอื่น เช่น โจรพุทธ โจรคริสต์บ้าง ดังนั้น สื่อมวลชนจึงควรใช้สติและความสามารถที่มีอยู่ให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อทุกชาติและศาสนาเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่รักและสามัคคีต่อกัน”จุฬาราชมนตรี กล่าว