ศูนย์ข่าวศรีราชา-อธิบดีกรมศุลกากรลงพื้นที่ทำความเข้าใจผู้ประกอบการท่าเรือแหลมฉบัง เกี่ยวกับการใช้เครื่อง X–Ray พร้อมเผยมหาดไทยขอร่วมจอยระบบ CCTVทุกจุดทั่วประเทศเพื่อตรวจดูในเรื่องของความมั่นคง
วันนี้ (27 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.นายชวลิต เศรษฐเมธีกุล อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 ที่ผ่านมาได้เห็นชอบอนุมัติโครงการจัดระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง เป็นการปฎิรูประบบราชการยุคใหม่ที่พร้อมจะให้บริการประชาชนด้วยความสะดวกรวดเร็ว โปร่งใส และได้มาตรฐานกรมศุลกากร จึงได้มุ่งเน้นที่จะนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยทุกรูปแบบมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการศุลกากรในทุกขั้นตอน
สำหรับระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ ด้วยเครื่อง X–Ray เป็นหนึ่งในโครงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบงานศุลกากรเพื่อใช้ตรวจสอบสินค้าขาเข้าและสินค้าขาออก ซึ่งขนส่งด้วยระบบบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ที่ผ่าน ณ ท่าเรือแหลมฉบัง และสถานที่บรรจุสินค้านอกเขตท่าเรือต่างๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงทางศุลกากร
พร้อมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอากร รวมทั้งการอำนวยการสะดวก ด้านการปล่อยสินค้าเข้าและออก อีกทั้งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประเทศคู่ค้า หรือข้อ จำกัด ในการดำเนินการค้าระหว่างประเทศและให้เป็นมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับศุลกากรทั่วโลก
โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการคลังที่เห็นความสำคัญของโครงการดังกล่าวจนเป็นผลสำเร็จและอนุมัติโครงการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ โครงการระยะที่ 1 อนุมัติจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้า แบบเคลื่อนที่ได้ ( Mobile Type) จำนวน 5 ระบบรวมมูลค่าบริหารจัดการโดยใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงการสร้างทางเศรษฐกิจจำนวน 970 ล้านบาท
นายชวลิต เผยต่อว่า ในวันนี้ได้ลงมาทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการในการใช้เครื่อง X –Ray ในท่าเรือแหลมฉบัง เพราะในอนาคตท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือที่สำคัญของประเทศ โดยจะคุยกับผู้ประกอบการว่าจะทำอย่างไรที่จะใช้เครื่อง X–Ray ให้เร็วขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ พร้อมทั้งจะมาเสนอแนวความคิดในการดำเนินการ ทำบันทึกความตกลงว่าด้วยความร่วมมือในยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศระหว่างกรมศุลกากรกับท่าเรือแหลมฉบัง ตามที่รัฐบาลมีนโยบายว่าเมื่อสินค้ามาถึงท่าแล้วจะต้องออกได้ภายใน 24 ชั่วโมง
โดยให้ทางกรมศุลกากรมาจัดการระบบดังกล่าว ดังนั้น ทางเราจึงต้องมาทำความตกลง ร่วมกับผู้ประกอบการท่า ซึ่งมีทั้งหมด 7 ท่า ที่ต้องร่วมประสานข้อมูลกัน ซึ่งขณะนี้ที่ท่าเรือกรุงเทพได้มีการลงนามกันเรียนร้อย ประกอบด้วยการท่าอากาศยาน การบินไทย กรมศุลกากร ซึ่งจะทำให้การทำงานเร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้ทางกรมศุลกากร ได้ทำการตรวจปล่อยสินค้าไปแล้ว ประมาณ 80 % ซึ่งจะเพียง 20 % ที่จะทำการเปิดตรวจด้วยเครื่อง X–Ray แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องตั๋วแดง หรือใบสั่งปล่อย
ซึ่งถ้าไม่มีใบสั่งปล่อยทางท่าเรือก็จะปล่อยสินค้าไม่ได้ ซึ่งเราจะทำการเชื่อข้อมูลกัน โดยใช้วิธีการสั่งปล่อยสินค้าทางอีเล็กโทรนิกก็จะทำให้ลดจำนวนคนลงไปได้จำนวนมาก
พร้อมทั้งย่นระยะเวลาในการดำเนินการและพิธีการ ซึ่งในอนาคตทางกรมศุลกากร มีนโยบายที่จะลดพิธีการและขั้นตอนลงและเราจะมาใช้วิธีการควบคุมมากขึ้น เช่น ในเรื่องของ X–Ray และระบบ CCTV ที่ตรวจสอบความโปร่งใสของการทำงาน สำหรับ 20% ที่จะทำการตรวจด้วยเครื่อง X–Ray นั้น เราจะเน้นตรวจสอบท่าที่มีปัญหาบ่อยๆ เช่น ท่าของฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน
ส่วนเรื่องของระบบ CCTV นั้นทางกรมศุลกากรได้ทุ่มงบประมาณไปกว่า 700 ล้านบาทจัดทำระบบดังกล่าวขึ้นเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส ซึ่งขณะนี้มีทั้งหมด 39 จุดทั่วประเทศ ซึ่งมีประโยชน์มาก อย่างเช่นที่แม่สายสามารถตรวจจับยาไอซ์ ได้ 2 ราย คือ เราสามารถส่งภาพกลับไปตรวจจับได้ทันที ซึ่งสามารจับได้ 3 กิโลกรัม ในกรณีอย่างนี้เราสามารถตรวจสอบดูภาพได้จากจอ และขณะนี้ทางกระทรวงมหาดไทย และด่านตรวจคนเข้าเมืองขอมาร่วมใช้ระบบด้วยโดยเชื่อมระบบกับเรา ทุกจุดทั่วประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ตกลงในหลักการเรียบร้อยแล้ว โดยเตรียมที่จะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้