ศูนย์ข่าวภาคอีสาน- “วีระ สมความคิด” เลขาธิการ คปต.แจ้งความจับ “ประเกียรติ นาสิมมา ส.ว.ร้อยเอ็ด" โดยกล่าวหาว่าให้สินบน“ปู่แคล้ว”ออกจากคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนวุฒิสภา ระบุเลขาธิการวุฒิสภาหมกเม็ด เข้าข้างผู้เป็นนายเตรียมเดินชนสางปมปัญหา สรุปข้อเท็จจริง
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (7มิ.ย.) ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง (สภ.อ.) ขอนแก่นนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น (คปต.) ได้นำเอกสารหลักฐาน ซึ่งเป็นสำเนาเอกสารรายงานผลการสอบสวนเรื่องการให้สินบนแก่สมาชิกวุฒิสภา
กรณีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา และสำเนาเอกสารการ้องเรียนของข้าราชการรัฐสภาผู้สุดทน ลงวันที่ 21 พ.ค.2547 เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.จตุพล ปานรักษา ผกก.สภ.อ.เมืองขอนแก่นให้ดำเนินคดีกับนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ว.ร้อยเอ็ด ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 144
นายวีระ กล่าวว่า ตามที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตวุฒิสภา ที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานฯ ได้มีหนังสือที่ สว.0010/(ร1)ลงวันที่ 30 ม.ค.2547 เสนอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อโปรดนำเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อทราบและพิจารณาว่าด้วยเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการรัฐสภาให้ตรวจสอบการดำเนินการของเลขาธิการวุฒิสภาที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เรื่องการให้สินบนแก่สมาชิกวุฒิสภา
จากกรณีที่นายแคล้ว นรปติ ส.ว.ขอนแก่นในฐานะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แถลงข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนเมื่อวันที่ 16 ก.ค.2546 ที่ผ่านมาว่ามีสมาชิกวุฒิสภา อักษรย่อภาษาอังกฤษนำหน้าชื่อ MR.P ซึ่งเป็นผู้ยื่นแบบแสดงความจำนงที่จะดำรงตำแหน่งกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนไ ด้นำเงินสดจำนวน 70,000 บาท และพระพุทธรูปมามอบให้พร้อมกับนำเอกสารขอเปลี่ยนความจำนงจากการเป็นผู้สมัครกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนให้กับท่าน ส.ว.แคล้ว ลงนามดังกล่าว
ต่อมานายประเกียรติ นาสิมมา ได้ออกมายอมรับว่าได้ไปพบกับท่าน ส.ว.แคล้วจริง ที่บ้านพักใน อ.เมือง ขอนแก่น โดยได้นำพระพุทธรูปไปให้ด้วยแต่ปฏิเสธว่ามิได้นำเงินสดไปมอบให้ ซึ่งจากการสอบสวนของคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของนายประเกียรติ นาสิมมา ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 149 และเข้าองค์ประกอบของมาตรา 303 และฝ่าฝืนต่อประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ.2545
นายวีระ กล่าวต่อว่า แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการบรรจุระเบียบวาระเพื่อรายงานต่อที่ประชุมวุฒิสภาแต่อย่างใด ประกอบกับการที่นายแคล้ว นรปติ และข้าราชการรัฐสภาที่ใช้ชื่อว่าข้าราชการรัฐสภาผู้สุดทนได้มีการส่งเรื่องดังกล่าวมายังกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่นให้ตรวจสอบการดำเนินการของเลขาธิการวุฒิสภาว่า เข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ และความผิดของนายประเกียรติ นาสิมมา ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มีข้อเสนอให้เลขาธิการวุฒิสภาไปดำเนินการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน
แต่ทางเลขาธิการวุฒิสภายังไม่มีการส่งเรื่องประกอบกับการที่ท่าน ส.ว.แคล้วยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และพร้อมที่จะตอบคำถามต่อสื่อมวลชนในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่และเป็น ส.ว.ด้วยกัน จึงส่งเรื่องให้ คปต.เป็นผู้ดำเนินการแจ้งความกล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด
ขณะที่นายแคล้ว นรปติ กล่าวว่า ในวันดังกล่าวนายประเกียรติ นาสิมมา ได้เดินทางมาพบตนจริงโดยได้เดินตามตนมาตั้งแต่โรงแรมโฆษะเพื่อมาบ้านพักซึ่งอยู่ติดกันโดยมีกลุ่ม ส.ว.จำนวนหนึ่งตามมาด้วย จากนั้นนายประเกียรติ ได้ขอร่วมพูดคุยกับตนเป็นการส่วนตัวที่ห้องพระโดยได้มีการร่วมพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ
จนกระทั่งนายประเกียรติ ได้นำพระพุทธรูปออกมาจากกระเป๋าถือและมอบให้พร้อมซองสีน้ำตาล เมื่อเปิดออกพบว่ามีเงินจำนวน 70,000 บาท บรรจุอยู่ภายในซองซึ่งนายประเกียรติ ได้พูดเชิงบังคับให้ตนชื่อในเอกสารขอเปลี่ยนความจำนงจากการเป็นผู้สมัครกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนจากการที่ตนได้แสดงความจำนงที่จะดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกสมัย ซึ่งก็ได้มีการให้ปากคำและพูดในที่ประชุม จนล่าสุดทราบว่าคณะกรรมาธิการฯสอบ
ส่วนที่มี พล.ต.อ.ประทิน เป็นประธานได้มีการสรุปเรื่องดังกล่าวแล้วและเรื่องอยู่ที่เลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งยังไม่ได้มีการนำเข้าสู่วาระการประชุม ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จึงได้มีการนำเรื่องส่งให้ คปต.ที่มีนายวีระ เป็นเลขาธิการฯอยู่ช่วยเร่งดำเนินการไต่สวนและนำเรื่องเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในฐานะหน่วยงานตรวจสอบภาคประชาชน เพราะเรื่องดังกล่าวมีมูลอย่างชัดเจน คนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด โดยเฉพาะคนของประชาชนผู้ทรงคุณวุฒิอย่างวุฒิสภา
ด้าน พ.ต.อ.จตุพล ปานรักษา ผกก.สภ.อ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการมอบหมายให้ พ.ต.ท.สัมฤทธิ์ เกษเจริญคุณ พงส.(สบ.3) เป็นผู้รับผิดชอบในการทำคดีดังกล่าวซึ่งต้องว่ากันไปตามเอกสารพยานหลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งก็ไม่หนักใจอะไรถึงแม้ว่าจะเป็นการกล่าวโทษกับ ส.ว.ร้อยเอ็ด และเลขาธิการวุฒิสภา ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่และวางตัวเป็นกลางที่สุดก็ต้องว่ากันไปตามเอกสารพยานหลักฐาน คนผิดก็ว่าไปตามผิด ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เพราะพยานแต่ละคนอยู่ต่างพื้นที่และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ประชาชนให้ความนับถือ
อย่างไรก็ตาม คงต้องให้เวลาพนักงานสอบสวนซักระยะในการทำคดีดังกล่าว เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (7มิ.ย.) ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง (สภ.อ.) ขอนแก่นนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น (คปต.) ได้นำเอกสารหลักฐาน ซึ่งเป็นสำเนาเอกสารรายงานผลการสอบสวนเรื่องการให้สินบนแก่สมาชิกวุฒิสภา
กรณีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา และสำเนาเอกสารการ้องเรียนของข้าราชการรัฐสภาผู้สุดทน ลงวันที่ 21 พ.ค.2547 เข้าแจ้งความต่อ พ.ต.อ.จตุพล ปานรักษา ผกก.สภ.อ.เมืองขอนแก่นให้ดำเนินคดีกับนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ว.ร้อยเอ็ด ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตร 144
นายวีระ กล่าวว่า ตามที่ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตวุฒิสภา ที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ เป็นประธานฯ ได้มีหนังสือที่ สว.0010/(ร1)ลงวันที่ 30 ม.ค.2547 เสนอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อโปรดนำเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภา เพื่อทราบและพิจารณาว่าด้วยเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการรัฐสภาให้ตรวจสอบการดำเนินการของเลขาธิการวุฒิสภาที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เรื่องการให้สินบนแก่สมาชิกวุฒิสภา
จากกรณีที่นายแคล้ว นรปติ ส.ว.ขอนแก่นในฐานะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แถลงข้อเท็จจริงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนเมื่อวันที่ 16 ก.ค.2546 ที่ผ่านมาว่ามีสมาชิกวุฒิสภา อักษรย่อภาษาอังกฤษนำหน้าชื่อ MR.P ซึ่งเป็นผู้ยื่นแบบแสดงความจำนงที่จะดำรงตำแหน่งกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนไ ด้นำเงินสดจำนวน 70,000 บาท และพระพุทธรูปมามอบให้พร้อมกับนำเอกสารขอเปลี่ยนความจำนงจากการเป็นผู้สมัครกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนให้กับท่าน ส.ว.แคล้ว ลงนามดังกล่าว
ต่อมานายประเกียรติ นาสิมมา ได้ออกมายอมรับว่าได้ไปพบกับท่าน ส.ว.แคล้วจริง ที่บ้านพักใน อ.เมือง ขอนแก่น โดยได้นำพระพุทธรูปไปให้ด้วยแต่ปฏิเสธว่ามิได้นำเงินสดไปมอบให้ ซึ่งจากการสอบสวนของคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของนายประเกียรติ นาสิมมา ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 149 และเข้าองค์ประกอบของมาตรา 303 และฝ่าฝืนต่อประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ.2545
นายวีระ กล่าวต่อว่า แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการบรรจุระเบียบวาระเพื่อรายงานต่อที่ประชุมวุฒิสภาแต่อย่างใด ประกอบกับการที่นายแคล้ว นรปติ และข้าราชการรัฐสภาที่ใช้ชื่อว่าข้าราชการรัฐสภาผู้สุดทนได้มีการส่งเรื่องดังกล่าวมายังกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่นให้ตรวจสอบการดำเนินการของเลขาธิการวุฒิสภาว่า เข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ และความผิดของนายประเกียรติ นาสิมมา ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มีข้อเสนอให้เลขาธิการวุฒิสภาไปดำเนินการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน
แต่ทางเลขาธิการวุฒิสภายังไม่มีการส่งเรื่องประกอบกับการที่ท่าน ส.ว.แคล้วยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และพร้อมที่จะตอบคำถามต่อสื่อมวลชนในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่และเป็น ส.ว.ด้วยกัน จึงส่งเรื่องให้ คปต.เป็นผู้ดำเนินการแจ้งความกล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด
ขณะที่นายแคล้ว นรปติ กล่าวว่า ในวันดังกล่าวนายประเกียรติ นาสิมมา ได้เดินทางมาพบตนจริงโดยได้เดินตามตนมาตั้งแต่โรงแรมโฆษะเพื่อมาบ้านพักซึ่งอยู่ติดกันโดยมีกลุ่ม ส.ว.จำนวนหนึ่งตามมาด้วย จากนั้นนายประเกียรติ ได้ขอร่วมพูดคุยกับตนเป็นการส่วนตัวที่ห้องพระโดยได้มีการร่วมพูดคุยถึงเรื่องต่างๆ
จนกระทั่งนายประเกียรติ ได้นำพระพุทธรูปออกมาจากกระเป๋าถือและมอบให้พร้อมซองสีน้ำตาล เมื่อเปิดออกพบว่ามีเงินจำนวน 70,000 บาท บรรจุอยู่ภายในซองซึ่งนายประเกียรติ ได้พูดเชิงบังคับให้ตนชื่อในเอกสารขอเปลี่ยนความจำนงจากการเป็นผู้สมัครกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนจากการที่ตนได้แสดงความจำนงที่จะดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมของประชาชนอีกสมัย ซึ่งก็ได้มีการให้ปากคำและพูดในที่ประชุม จนล่าสุดทราบว่าคณะกรรมาธิการฯสอบ
ส่วนที่มี พล.ต.อ.ประทิน เป็นประธานได้มีการสรุปเรื่องดังกล่าวแล้วและเรื่องอยู่ที่เลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งยังไม่ได้มีการนำเข้าสู่วาระการประชุม ถือเป็นสิ่งที่แสดงถึงการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จึงได้มีการนำเรื่องส่งให้ คปต.ที่มีนายวีระ เป็นเลขาธิการฯอยู่ช่วยเร่งดำเนินการไต่สวนและนำเรื่องเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในฐานะหน่วยงานตรวจสอบภาคประชาชน เพราะเรื่องดังกล่าวมีมูลอย่างชัดเจน คนผิดก็ต้องว่าไปตามผิด โดยเฉพาะคนของประชาชนผู้ทรงคุณวุฒิอย่างวุฒิสภา
ด้าน พ.ต.อ.จตุพล ปานรักษา ผกก.สภ.อ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า เรื่องนี้ได้มีการมอบหมายให้ พ.ต.ท.สัมฤทธิ์ เกษเจริญคุณ พงส.(สบ.3) เป็นผู้รับผิดชอบในการทำคดีดังกล่าวซึ่งต้องว่ากันไปตามเอกสารพยานหลักฐานที่มีอยู่ ซึ่งก็ไม่หนักใจอะไรถึงแม้ว่าจะเป็นการกล่าวโทษกับ ส.ว.ร้อยเอ็ด และเลขาธิการวุฒิสภา ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่และวางตัวเป็นกลางที่สุดก็ต้องว่ากันไปตามเอกสารพยานหลักฐาน คนผิดก็ว่าไปตามผิด ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เพราะพยานแต่ละคนอยู่ต่างพื้นที่และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ประชาชนให้ความนับถือ
อย่างไรก็ตาม คงต้องให้เวลาพนักงานสอบสวนซักระยะในการทำคดีดังกล่าว เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ