xs
xsm
sm
md
lg

เจาะเคล็ดลับ “Etihad Airways” รุกตลาดไทยบินตรง 4 จังหวัด เชื่อไทยคือ “เพชรเม็ดงาม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดแนวคิดผู้บริหาร “เอทิฮัด” สายการบินเดียว และสายการบินแรก ที่บินตรงจาก “อาบูดาบี” สู่ 4 จังหวัดในไทย “กรุงเทพฯ /ภูเก็ต /เชียงใหม่ /กระบี่” รุกตลาดไทยด้วย “ความรู้” กับ “ความเชื่อ” จนกลายเป็น “สายการบินที่เติบโตรวดเร็วที่สุด” ในขณะนี้

มองเห็น “ความเป็นไปได้” ผลักให้กล้าบุกเบิก

ประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สำหรับเอทิฮัด อย่างเส้นทางที่บินไปกรุงเทพฯ ก็จะมี 5-8 ความถี่ต่อสัปดาห์ ภูเก็ตก็มี 3-4 ไฟล์ตต่อสัปดาห์ กระบี่ก็ถือว่าเป็นไฟล์ตต่อวันเลย Daily Flight”

“แฟรงก์ เมเยอร์ (Frank Meyer)” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายดิจิทัล (Chief Digital Officer) ของสายการบิน “เอทิฮัด (Etihad Airways)” สายการบินแห่งชาติของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บอกถึงความเชื่อมั่นของสายการบิน ที่มองว่าไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ที่สำคัญ ในการเชื่อมโยงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตะวันออกกลาง

จนเป็นที่มาของโปรเจกต์นี้ขึ้น ด้วยการเปิดเส้นทางบินตรงใหม่ จาก “อาบูดาบี-เชียงใหม่” และ “อาบูดาบี-กระบี่” เชื่อมท่องเที่ยวภาคเหนือ-ใต้ของไทยกับตะวันออกกลาง ด้วยการเดินทางระดับพรีเมียม โดยแอร์บัส A321LR รุ่นใหม่ล่าสุด

และถือว่าเป็นสายการบินแรก และสายการบินเดียว ที่บินตรงสู่เมืองท่องเที่ยวอย่าง “กระบี่” และ “เชียงใหม่” จากก่อนหน้านี้ ที่เพิ่งเปิดเส้นทางบินตรงมายัง “ภูเก็ต” และ “กรุงเทพฯ” จนกลายเป็นที่ฮือฮา และจับตามองในธุรกิจสายนี้

เห็นได้ชัดว่า ทุกเมืองที่ถูกเลือกให้เป็นหมุดหมายบินตรงในไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมาเที่ยวอย่างคับคั่งอยู่แล้ว  เพราะเป็นศูนย์กลางแห่งธุรกิจ การค้า และการท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค จึงสร้างความมั่นใจให้กับซีอีโอหนุ่มรายนี้ได้ว่า คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

[เครื่องบินแอร์บัส A321LR]
เมื่อถามว่าอะไรทำให้เขาเชื่อมั่นได้ขนาดนั้น หนุ่มตาน้ำข้าวก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนยืนยันว่า “ข้อมูลทางสถิติ” คือเหตุผลหลักในการหนุนการตัดสินใจของเขาถึง 60-80% โดยเฉพาะสถิติจำนวนผู้โดยสาร จากอาบูดาบีมาเชียงใหม่ เพราะมีความสำคัญอย่างมาก กับการบินตรง

นอกเหนือไปจากนั้นอีก 20-40% ต้องอาศัย “ความกล้าที่จะเสี่ยง” และ “กล้าที่จะตัดสินใจ” ลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อก้าวไปบนเส้นทางที่ “ยังไม่มีใครเคยทำ” พร้อมทัศนคติที่ว่า อะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

“การเลือกในส่วนเส้นทางการบิน ก็มีทั้งการผสมผสานในทางศิลปะ และทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน แน่นอนว่าทางเอทิฮัดได้ใช้ข้อมูลทางสถิติ ว่าเส้นทางนี้ได้ในส่วนของผลกำไร หรือว่าผู้โดยสารไปมากแค่ไหน อย่างเช่น เชียงใหม่ผ่านมากแค่ไหน ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก กับการบินตรง


โดยรวมเราใช้ข้อมูลทางสถิติถึง 60-80%ในการตัดสินใจ แต่นอกเหนือ 80% นี้แล้ว ทางเราก็ต้องพยายามโปรโมตก่อนว่า เราจะสามารถทำต่อได้ไหม

จริงๆ แล้วนักท่องเที่ยวที่มาไทย ไม่ใช่แค่เพียงมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เท่านั้น แต่มาจากทุกภูมิภาค เช่น ยุโรป, จินชิว(จีน), แอฟริกาฯลฯ

ทางเอทิฮัดไม่ได้รับนักท่องเที่ยวมารูปแบบเดียว ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เทรด หรือการค้า ก็มีเพิ่มขึ้นอย่างมากระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์”


[แฟรงก์ เมเยอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายดิจิทัล]
ลองให้วิเคราะห์เปรียบเทียบกันดูว่า “กลุ่มนักเดินทางจากตะวันออกกลาง” กับ “กลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวของไทย” ทั้ง 4 แห่งที่ปักหมุดเอาไว้ มีจุดร่วมกันอยู่ตรงไหน ที่ทำให้ผู้บริหารอย่างเขามองเห็นความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางเหล่านี้

โดยเฉพาะนักเดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่น่าจะมีความคาดหวังเรื่องบริการค่อนข้างสูงนั้น แฟรงก์มองเป็นภาพรวมว่า สิ่งที่เชื่อมโยงผู้ใช้บริการทั้ง 2 กลุ่มได้ ก็คือ “บริการพรีเมียม” ที่เขาสามารถรองรับได้

เริ่มตั้งแต่ตัวเครื่องบิน ทั้งในแบบ Business และ First Classไปจนถึงโรงแรมระดับดาวสูง และกิจกรรมต่างๆในไทย ที่สามารถรองรับตลาดพรีเมียมนี้ได้อย่างกลมกลืน

ในส่วนนักท่องเที่ยวของ UAE (United Arab Emirates : สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เขาคาดหวังในแง่ของบริการที่ค่อนข้างสูง ทั้งในเรื่องการเดินทาง ทั้งเรื่องจุดหมายปลายทาง ซึ่งเครื่องบิน A321LR ก็ถือว่าตอบโจทย์มีทั้ง First Class และ Business Class

รวมไปถึงเรื่องของโรงแรม และกิจกรรมภายในประเทศไทยเอง ที่สามารถมอบการท่องเที่ยวในรูปแบบพรีเมียม ให้ได้ทั้งในเรื่องของ Business Trip หรือว่าการมาพักผ่อนหย่อนใจ

จริงๆ แล้วประเทศไทยก็ถือว่า เป็นประเทศที่รองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบพรีเมียม หรือว่า Backpacker

และหมุดหมายล่าสุดที่เราเลือก อย่าง เชียงใหม่’ ก็ถือว่าเป็นประตูที่นักท่องเที่ยวสามารถผ่าน เพื่อที่จะไปสู่จังหวัดใกล้เคียงภายในประเทศได้เหมือนกัน ซึ่งถือว่าเป็นการท่องเที่ยวแบบครบวงจร


ทางทีมผู้บริหารบอกอีกว่านอกจากความท้าทายในการบินตรง 4 จังหวัดในไทยแล้ว ความแปลกใหม่ท้าทาย ที่ทางเอทิฮัดไม่เคยทำมาก่อนก็คือ การเปิดไฟล์ตบินสู่เส้นทางระดับภูมิภาคทุกวัน

เดิมทีกระบี่ มีการเปิดให้บิน 4 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็น Daily Flight คือมีไฟล์ตบินในทุกๆ วัน เพราะมองเห็นโอกาส และผลตอบรับที่เป็นไปได้

โดยเชียงใหม่จะให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ส่วนกรุงเทพฯ ก็จะมี 5-8 ความถี่ต่อสัปดาห์ และภูเก็ต 3-4 ไฟล์ตต่อสัปดาห์


เปิดโอกาสค้นพบ “เพชรเม็ดงาม” ในไทย

อีกหนึ่งเหตุผลที่สายการบินเอทิฮัด เลือก “กระบี่” และ “เชียงใหม่” เป็นจุดหมายใหม่ในการบินตรงจากอาบูดาบีนั้น เป็นเพราะเอทิฮัดกำลังมองหาการเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค ที่นอกเหนือไปจากเมืองหลวงหลัก และในขณะเดียวกัน กระบี่และเชียงใหม่ ก็ตอบโจทย์กลุ่ม Wellness Travel ได้

นี่คือมุมมองเพิ่มเติม จาก “แคลร์ เคอร์ติส (Claire Curtis)” หัวหน้าฝ่ายการวางแผนการขายและบัญชีลูกค้า (Head of Sales Planning and Global Accounts) ที่ช่วยวิเคราะห์เอาไว้

เธอมองว่านักเดินทางจากทั่วโลก อาจจะคุ้นเคยกับ “กรุงเทพฯ” และ “ภูเก็ต” ดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ “เชียงใหม่” เปรียบเหมือนอัญมณีทางธรรมชาติ เปรียบเหมือนเพชรเม็ดงาม ที่รอการค้นพบ

[แคลร์ เคอร์ติส หัวหน้าฝ่ายการวางแผนการขายและบัญชีลูกค้า]
โดยเฉพาะนักเดินทางในตะวันออกกลาง ที่มีความต้องการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สูงมากเป็นพิเศษ และนี่คือเหตุผลข้อสำคัญ ที่ว่าทำไมสายการบินเอทิฮัด ถึงเลือก “กระบี่” และ “เชียงใหม่” เพิ่มเข้ามาเป็นหมุดหมายปลายทางล่าสุด

ทางเอทิฮัดมีความสนใจในเรื่องของจุดหมายปลายทาง ที่เป็นภูมิภาคส่วนใหญ่ ตอนแรกเราก็มีในส่วนของกรุงเทพฯ แล้ว แต่ตอนนี้เราก็สนใจ ที่จะเข้ามาในรูปแบบของ Hidden Gem

ทางเชียงใหม่ถือว่าเป็น Hidden Gem ที่มีคนรู้จักอยู่แล้ว ก็อยากที่จะเปิดทางให้นักท่องเที่ยว จากภาคตะวันออก ได้สามารถเข้าถึงพื้นที่ตรงนี้ได้

เพราะว่านักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง มีความสงสัย อยากที่จะรู้จักสิ่งต่างๆ มากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพักผ่อนหย่อนใจต่างๆ แล้วมันจะมีที่ไหนที่ดีไปกว่าเชียงใหม่


ทางเอทิฮัดเห็นว่าประเทศไทย ถือว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างมีความสำคัญทีเดียว เราจึงได้เปิดเส้นทางเพิ่มเติมทั้งเชียงใหม่และกระบี่

เรามีความตั้งใจ และมีความยินดีอย่างยิ่ง ที่เราจะได้มีความร่วมมือ กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หวังว่าในอนาคตก็จะได้ร่วมมือกันต่อไป และขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า สายการบินของเรามีความเชื่อมั่นในตลาดของไทยจริงๆ ค่ะ



หัวใจสำคัญของการขยายเส้นทางครั้งนี้ “แฟรงก์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายดิจิทัล ช่วยเผยข้อมูลเพิ่มเติม เอาไว้ด้วยความตื่นเต้นว่า คือความตั้งใจในการนำ “เครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดแอร์บัส A321LR” เข้ามาให้บริการ

โดยจะนำมาใช้ในทั้ง 2 เส้นทางใหม่ล่าสุด คือ “กระบี่” และ “เชียงใหม่” พร้อมกับย้ำว่า นี่คือกลยุทธ์หลักในการเจาะ “ตลาดเฉพาะกลุ่ม”

จุดที่น่าสนใจคือเครื่องบินรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อมอบ “ประสบการณ์พรีเมียม” อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บนเครื่องบินลำตัวแคบ (narrow-body)

โดยแบ่งห้องโดยสารเป็น 3ชั้น ประกอบด้วยก็คือห้องสวีท 2 ห้อง สำหรับชั้น First Classที่มาพร้อมประตูบานเลื่อน เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด เตียงนอนปรับเอนราบได้เต็มที่ซึ่งปกติจะพบได้เฉพาะในเครื่องบินลำตัวกว้าง (wide-body)เท่านั้น

และยังมีที่นั่งชั้น Business Class จำนวน 14 ที่นั่งที่สามารถปรับเอนราบได้เต็มที่และทุกที่นั่งติดทางเดินและชั้น Economy อีก 144 ที่นั่ง

การที่เอทิฮัด เลือกใช้แอร์บัส A321LR เข้ามาให้บริการในทั้ง 2 เส้นทาง ถึงจะเป็นเครื่องบินลำตัวแคบ แต่ทางผู้บริหารก็ย้ำว่า ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์สายการบินหรูเปลี่ยนไปแน่นอน

ในทางกลับกัน แทบจะยกระดับบริการพรีเมียม มาบนเครื่องลำตัวแคบนี้ด้วยซ้ำ เพราะเครื่องบิน A321LR ให้ความรู้สึกเกือบเหมือนเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ไม่ทำให้รู้สึกแออัดแน่นอน

[Economy 144 ที่นั่ง]


[Business Class 14 ที่นั่ง]

จริงๆ แล้วเครื่อง A321LR เป็นการนำประสบการณ์ความสะดวกสบาย ของเครื่องบินลำกว้าง มาสู่ในเครื่องบินลำแคบ และจริงๆ แล้วมันเป็นการพัฒนาเครื่องบินลำกว้างด้วยซ้ำ

เช่นในส่วนของ First Classซึ่งในหลายๆ เครื่องบินที่เป็นลำตัวกว้างไม่มีมาก่อนอย่างห้องสวีท 2 ห้องเลยถือว่าค่อนข้างที่จะสะดวกสบาย คล้ายบินในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวก็ว่าได้


การอำนวยความสะดวก ก็จะมีรูปแบบของจอสัมผัส ความละเอียดชัด แม้กระทั่งชั้น Economy ก็ตาม ดังนั้นก็ค่อนข้างที่จะเหมาะสมกับภาพลักษณ์ของเอทิฮัด

[เครื่องบินลำตัวแคบ แต่เตียงนอนสามารถปรับเอนราบได้เต็มที่]
เชื่อม “ไทย-อาบูดาบี” ดันเป็น “เมืองศูนย์AI”

“เราน่าจะเป็น 1 ในสายการบินที่โตเร็วที่สุดในโลกตอนนี้เลยครับ” แฟรงก์ พูดถึงจุดยืนอันแข็งแกร่งของตัวเอง ด้วยรอยยิ้มและแววตาเป็นประกาย

พร้อมทั้งกระซิบบอกเคล็ดลับ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้แบบนั้นว่า เป็นเพราะเอทิฮิดใช้วิธี “รุกขยายเส้นทางในไทย” จนทำให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในที่สุด

ปัจจุบันเอทิฮัดมีเครื่องบิน 115 ลำ ปีนี้เพียงปีเดียว มีเครื่องบินเพิ่ม 22 ลำ และคาดว่าภายในปี 2030 เราจะมีฝูงบินมากกว่า 200 ลำ ซึ่งเราเพิ่งประกาศ 31จุดหมายปลายทางใหม่ และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เราเปิดถึงเส้นทางใหม่ คือเชียงใหม่,ฮานอย (เวียดนาม)ฮ่องกงตูนิส(ตูนิเซียและกระบี่

เรากำลังเติบโตอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหวังว่าปีหน้า การเติบโตอีก 2 Offset ถึงขั้น 15% ครับ


แม้หลายคนอาจมองว่า เมืองหลวงอย่าง “ดูไบ” มีชื่อเสียงมากกว่า “อาบูดาบี” ในแง่ของการเป็นเมืองเศรษฐกิจเมืองที่เติบโตอย่างไม่มีวันหลับ

แต่ความจริงแล้ว “อาบูดาบี” ก็มีเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ต่างจาก “เชียงใหม่” คือเมืองที่เป็น Hidden Gem เหมือนๆ กัน

อีกหนึ่งแรงผลัก เป็นเพราะสายการบินเอทิฮัด มีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นเจ้าของ ทางภาครัฐจึงอยากใช้ตรงนี้เป็นจุดแข็ง ดึงจุดขายที่ถูกซ่อนไว้ มาปั้นเป็น “เมืองหลัก” อีกเมือง เพื่อเติมเต็มเส้นทางท่องเที่ยว ในฐานะ “ประตูสู่ตะวันออกและตะวันตก” ของประเทศ

ถ้าให้แนะนำเสน่ห์อันน่าค้นพบ แฟรงก์บอกได้คร่าวๆ ว่า มีทั้งชายหาดที่สวยกว่า ทั้งพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และมัสยิดชีคซายิดที่ยิ่งใหญ่ฯลฯ รอให้นักเดินทาง ได้สัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรมอันสวยงาม

นอกจากนี้หนึ่งในจุดขายที่กำลังมาแรงอย่างมาก ก็คืออุตสาหกรรมบันเทิงอย่าง “คอนเสิร์ต” ที่อาบูดาบีมีศิลปินตบเท้าเข้ามาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอย่างล้นหลาม และนี่คือเสียงจาก “หัวหน้าฝ่ายการวางแผนการขาย” ที่ช่วยทำหน้าที่ไกด์จำเป็นไว้ให้

อาบูดาบีกำลังจะมีพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์และกำลังจะมีไฮไลต์อีกอย่างคือดิสนีย์แลนด์แห่งที่ 7 กำลังจะมาสร้างบนเกาะยาส (Yas)”


สิ่งที่ควรรู้ไว้ คือนอกจากไฮไลท์การท่องเที่ยวแล้ว อาบูดาบีกำลังเติบโตในฐานะศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญ โดยที่รัฐบาลอาบูดาบีกำลังทุ่มลงทุนอย่างมหาศาล ในอุตสาหกรรมดิจิทัลถึงกับมีการประกาศสร้างศูนย์ข้อมูล Data Centers ขนาดใหญ่ และคาดหวังว่าจะเป็น “Global Hub สำหรับAI” ในอนาคต

ส่วนเรื่องการเปิดเส้นทางใหม่ เชื่อมโยง Hidden Gem จากทั้ง 2 ประเทศในครั้งนี้นั้น ล่าสุด มีการมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้ลูกค้าเพื่อเฉลิมฉลองการเปิดเส้นทาง “เชียงใหม่-อาบูดาบี”

ด้วยการเปิดโปรแกรม “Stopover” และแคมเปญ “Gold Tier” ดึงดูดนักเดินทางที่ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 3-30พ.ย.นี้ให้ได้สิทธิพิเศษอัปเกรดสถานะเป็น “ลูกค้าระดับ Gold” ในทันที

และถ้านักเดินทางซื้อตั๋วภายใน 6เดือน หลังจากลงทะเบียน จะมีสิทธิ์ขยายสถานะระดับ Gold ออกไปอีก 12 เดือน

พร้อมกับสิทธิพิเศษมากมายเช่น การเข้าใช้ห้องรับรองผู้โดยสารชั้นธุรกิจการเลือกที่นั่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสิทธิ์ในการนำสัมภาระเพิ่มเติมโดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็ปไซต์ etihad.com 


เรื่อง : ทีมข่าว MGR Live

** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น