xs
xsm
sm
md
lg

ไหวตัวไม่ทัน VS ไม่ใส่ใจ #ถนนทรุด เพราะปล่อยให้ “ยุบปีละ 3 ซม.” จนปิดไม่อยู่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ถนนทรุด” ครั้งประวัติศาสตร์ วิศวกรชี้ “ซ่อมยาก” หลักปีมีแน่ ส่องไทม์ไลน์ “2 ชั่วโมง” ก่อนเหตุระทึก “ฉุกละหุก” จนแก้ไม่ทันจริงๆ หรือเพราะไร้คนใส่ใจ ทั้งที่ทุกตำราเตือนตรงกันมานาน กรุงเทพฯ “ทรุด” ปีละ 1-3 ซม. แต่ไม่มีมาตรการรับมือ

** นับไปเลย “หลักเดือน-หลักปี” **

ระทึกขวัญกลางกรุง เมื่อเกิดเหตุ ถนนสามเสน “ยุบ”ขนาดใหญ่ กว้าง “30x30 เมตร” ลึกถึง“ 50 เมตร” บริเวณหน้า “โรงพยาบาลวชิรพยาบาล”และ “สถานีตำรวจสามเสน” ทำให้ต้องรีบ“อพยพ”ประชาชนโดยรอบอย่างเร่งด่วน

ย้อนกลับไปในตอนก่อนเกิดเหตุ ในช่วง “7 โมงเช้า” ก็มีภาพของผู้ใช้รถใช้ถนนเส้นนี้ แสดงให้เห็นว่า ถนนเริ่มมีการ “ทรุด”ตั้งแต่ตอน “ตี 5”และมีน้ำเอ่อล้นท่วมผิวถนน


                                                                     {ถนนเริ่มทรุด ตั้งแต่ช่วงตี 5}

ข้อมูลจากการแถลงข่าว “กาจผจญ อุดมธรรมภักดี” ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บอกว่า ทางโครงการก่อสร้างทราบว่า มีท่อประปาขนาดใหญ่ “แตก”และได้ประสานการประปาเข้ามาแก้ไขแล้ว


“ทางการประปาก็มาแล้ว แต่พอดีการแก้ไขยังไม่ได้ดำเนินการ อย่างได้ทันท่วงที สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงใกล้ๆ 7 โมงเช้านะครับ”

ข้อ “สันนิษฐาน” เบื้องต้นคือ สภาพของ “ดิน”ในบริเวณนั้น รวมกับ “น้ำใต้ดิน”ทำให้ดิน “เสียเสถียรภาพ” จน “ทรุดตัว” ลง แล้วก็เป็นผลต่อเนื่องทำให้ “ท่อประปา”ที่ฝังอยู่ “แตก-ชำรุด”

น้ำที่รั่วออกมาจากท่อ ส่วนนึงจึงขึ้นไปยัง “ผิวถนน”แต่อีกส่วนก็ “ดันลงล่าง” แรงดันจากน้ำและดิน ที่กดลงไป ผลักให้ไป “ขยายรอยแตก” ของ “อุโมงค์” รถไฟฟ้าใต้ดิน

จนรอยนั้นให้ “ใหญ่ขึ้น” กระทั่งดิน “ทะลัก” เข้าไป จนกลายเป็นภาพถนนทรุดครั้งใหญ่อย่างที่เห็น

และจากความเสียหายที่เกิดขึ้น รฟม. บอกไว้ว่า ขอใช้เวลา “ไม่เกิน 14 วัน” ในการเร่งคืนพื้นผิวจราจร ให้ถนนสามเสนกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง


                                             {ถนนสามเสนยุบ เกิดหลุมยักษ์กลางเมือง}

ส่วนนายกฯ ป้ายแดง อย่าง “อนุทิน ชาญวีรกูล” คาดไว้ว่า น่าจะใช้เวลา “1 ปี” ในการซ่อมแซมความเสียหายของ “โครงสร้างอุโมงค์” ให้กลับมาเหมือนเดิม

เรื่องนี้จึงถูกหยิบไปเปรียบเทียบ กับเหตุการณ์ใน “ญี่ปุ่น” กับเคสถนนทรุดตัวครั้งใหญ่ใน “ฟุกุโอกะ” เป็นหลุมขนาดใหญ่ กว้าง 30x27 เมตร ลึก 15 เมตร แต่บ้านเมืองเขากลับสามารถซ่อมแซมให้เสร็จได้ภายใน 7 วัน

ผู้คนจึงตั้งคำถามกับผู้บริหารประเทศบ้านเมืองเราว่า “1 ปี” ถือว่าช้าไปไหม? ถ้าให้มองผ่านเลนส์ตาของกูรูด้านวิศวกรรม อย่าง “เอ้” ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร สมัยที่ 7 และประธานงานอุโมงค์โลกปี 2012 วิเคราะห์เอาไว้ว่า...

“ถือเป็นกรณีที่ยากเลยนะครับ เพราะว่า 1.มันลึก และมันก็กว้าง 2.พื้นที่ข้างเคียงมีความเสียหายมาก”



ดังนั้น กรณีของไทยจึง “ยากกว่า” เพราะมี “อุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน” อยู่ด้วย และขนาดหลุมก็ใหญ่กว่า อาคารโดยรอบอย่าง “สน.สามเสน” ก็ได้รับความเสียหาย เสี่ยงที่ตึกจะทรุดตัว

การซ่อมแซมอุโมงค์ อาคารที่เสียหาย วางระบบท่อสาธารณูปโภคใหม่ จึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ “หลักหลายเดือน”

“การที่จะทำภายใน 1 สัปดาห์นั้น เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ต้องพูดว่าหลายเดือนขึ้นไป ส่วนจะเป็นปีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า ทั้งเงิน อุปกรณ์ พื้นที่นะครับ แล้วก็กฎหมายอีก แต่ต้องหลายเดือนแน่นอน อย่างน้อยนะครับ”



                                         {ญี่ปุ่น ซ่อมได้ภายใน 7 วัน}

** “เตือนไม่ได้-แก้ไม่ทัน” จริงหรือ? **

“2 ชั่วโมง” คือเวลาคร่าวๆ ก่อนที่จะเกิดเหตุ คำถามคือ ห้วงเวลานี้ “ทีมก่อสร้าง” สังเกตเห็นสัญญาณอันตรายหรือเปล่า?
เพราะแม้แต่ทาง “รฟม.” ก็ออกมายืนยันเองว่า“โครงการก่อสร้าง” มีอุปกรณ์ที่เอาไว้ตรวจการไหลของดิน คำถามคือ แล้วการแจ้งเตือนหายไปไหน?

“ถ้าเกิด มันเกิดขึ้นตอน 9 โมงเนี่ย ไม่จืดเลย”

ดร.เอ้ ยืนยันว่า ถือเป็นโชคดี ที่ถนนจุดเกิดเหตุ ไม่ได้ทรุดในช่วงการจราจรหนาแน่นมากๆ ไม่อย่างนั้น อาจมีคนได้รับบาดเจ็บ ทั้งผู้คนที่เดินทางไปทำงาน ทั้งลูกหลานที่กำลังไปโรงเรียน

โชคดีที่ทาง “ตำรวจ” สังเกตเห็นความ “ผิดปกติ” ของถนนที่ทรุดหนัก จึงเริ่ม “ปิดการจราจร” ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเหตุ



ส่วนเรื่องการเฝ้าระวังนั้น กูรูรายเดิมบอกไว้ว่า ปกติแล้ว “การก่อสร้างอุโมงค์”แบบนี้ “สัญญาจ้างงาน”จะระบุเอาไว้เลยว่า ต้องมี “ระบบตรวจวัด”

คอยวัดการ “ทรุดตัว” ของดิน และการ “เอียง”ของตัวโครงสร้าง ซึ่งจะติดตั้งไว้ตาม “จุดเสี่ยง” อย่าง อาคารโดยรอบ และถนน

“เขาก็จะมีการให้ผู้รับเหมา ผู้รับจ้างเนี่ย ไปติดอุปกรณ์ตามโครงสร้างข้างเคียง รวมทั้งถนนด้วย ถนนก็ต้องติดแล้วก็ต้องวัดตลอด”

ประเด็นคือ แม้สัญญาทั่วไปบังคับให้มีการติดตั้งระบบนี้ แต่ “ไม่ได้บังคับ”ว่า เมื่อพบการไหลของดิน หรือการเอียงตัวของโครงสร้างโดยรอบแล้ว จะต้องส่งสัญญาณ “แจ้งเตือน”ซึ่งถ้าจะทำจริงๆ มันทำได้ไม่ยากเลย

“อุปกรณ์พวกนี้ มันสามารถที่จะติดเซนเซอร์ ที่ส่งผ่าน WiFi เข้าระบบเตือนภัยต่างๆ ได้ เทคโนโลยีมันเอื้อครับ แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าของงาน จะระบุให้ใช้หรือไม่ เท่านั้นเองครับ”


                                                                   {“ดร.เอ้”อดีตนายกสภาวิศวกร}

ส่วนประเด็นข้อคลางแคลงใจที่ว่า ระยะ  “2 ชั่วโมง” ที่มีสัญญาณอันตรายส่อแวว ถือว่า “ฉุกละหุก” จนไม่สามารถคาดการณ์เหตุที่จะเกิดขึ้นหรือ?

จุดนี้ ดร.เอ้ เองก็ยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่า “ดินทรุด” ก่อน แล้วทำให้ท่อประปาขนาดใหญ่แตก อย่างที่ รฟม. บอกหรือเปล่า

หรือว่าเป็นเพราะท่อประปาแตก ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว นานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ จนน้ำจำนวนมากเซาะดินด้านใต้ กระทั่งเป็น “โพรง” ผลักให้เกิดการทรุดตัวของถนน

หรือปัญหาอาจมาจาก “การก่อสร้างอุโมงค์” ที่ทำให้เกิด “รอยแตก” ขนาดใหญ่ จนดินไหลเข้าไป

สุดท้าย เลยยังไม่รู้ว่า เหตุมันเกิดภายใน 2 ชั่วโมง แล้วทวีความรุนแรง จนแก้ไม่ทัน หรือมันเกิดก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ไม่มีการแจ้งเตือนกันแน่ ซึ่งตอนนี้ฝั่ง รฟม. กำลังพยายามหาคำตอบอยู่



ส่วนจะได้คำตอบที่แท้จริงแค่ไหน ไม่อาจทราบได้ เพราะคนที่ไปสืบความหาจริง หาคนผิด ดันกลายเป็น “เจ้าของงาน” ที่ทำพัง แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่า ไม่มีการปกปิด

“ถ้าเราไม่รู้สาเหตุเกิดจากอะไร เราจะไปป้องกันยังไงล่ะครับ”

“ตึก สตง. ไม่ควรพังก็พัง, พระราม 2 ไม่ควรพังก็พัง, สะพาน กทม. ไม่ควรพังก็พัง, อุโมงค์ยุบที่พระราม 3 อันนี้ก็ไม่รู้สาเหตุเพราะอะไร มันเป็นอย่างนี้หมด มันจะเกิดขึ้นซ้ำซาก ไม่มีใครการันตีหรอกครับ”



** ปีละ 3 ซม.!! แต่ไม่มีใครทำอะไร? **

เหตุการณ์ “ถนนยุบ” ครั้งใหญ่นี้ ทำให้คนหันมาสนใจ “ที่ตั้ง” ของ “กรุงเทพฯ” ที่อยู่บนชั้น “ดินอ่อน” และปริมาณ “น้ำในดินที่สูง” จนผลักให้ดิน “ทรุดตัวได้ง่าย” ยิ่งเมื่อรวมกับ “ระดับน้ำทะเล” ที่เพิ่มระดับสูงขึ้นทุกปีอีก

“พิชิต สมบัติมาก” อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี(ทธ.) เผยกับสื่อว่า เรื่องนี้ทำให้กรุงเทพฯ “ทรุดลง” เฉลี่ยปีละ “1-3 
เซนติเมตร” หลายคนเลยกังวลว่าหลุมยุบแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกไหม? บ้านที่อาศัยอยู่ตอนนี้ปลอดภัยหรือเปล่า?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูรายเดิมวิเคราะห์ว่า ถ้าพื้นที่ที่มีเสาเข็มยาวเพียงพอ จะไม่มีความน่ากังวลขนาดนั้น ส่วน “ดินอ่อน” ของกรุงเทพฯ นั้น จะอยู่บนชั้นดินในระยะ “0-15 เมตร” เท่านั้น แต่ถ้าลึกลงไปกว่านั้น ตั้งแต่ “15-25 เมตร” จะเป็น “ดินเหนียวแข็ง”

ดังนั้น ถ้าจะสร้างอาคารบนพื้นดินของกรุงเทพฯ ให้แข็งแรงยั่งยืน “เสาเข็ม” ต้องยาวมากกว่า “20 เมตร” ขึ้นไป ซึ่งเป็น “มาตรฐานการก่อสร้าง” ที่คนก่อสร้างรู้และทำกันอยู่แล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น การทรุดตัวลงทุกๆ ปีของเมืองหลวงแห่งนี้ ซึ่งทรุดถึง “ปีละ 1-3 ซม.” หรือคิดง่ายๆ 10 ปีก็ทรุดลง 10-30 ซม.



นอกจากทำให้เกิดน้ำท่วมได้ง่าย แม้ฝนตกไม่หนักก็ตาม มันก็ยังส่งผลกระทบกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน อย่าง ท่อประปา-ท่อระบายน้ำ ที่อาจแตก หรือระบบส่งน้ำไม่ทำงาน

“โครงสร้างส่วนใหญ่ที่จะทรุดเนี่ย มันเป็นโครงสร้างที่เสาเข็มสั้น ถนนเนี่ยก็ทรุด ถ้ามันไม่มีเสาเข็ม แต่ถ้าเกิดเป็นโครงสร้างตึกสูง หรือเสาเข็มยาวเนี่ย ทรุดตัวมี แต่ทรุดตัวน้อย

การทรุดตัวเนี่ย มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว น้ำทะเลมันก็หนุนสูงจริงๆ กรุงเทพฯ ถ้าเกิดไม่ทำอะไร ก็ทรุดตัวแน่นอน 100% น้ำท่วม-น้ำทะลักกรุงเทพฯ 100% ถ้าเกิดไม่ทำอะไร อันนี้ทุกตำราบอกตรงกันครับ”

ข้อมูลเรื่อง “ดินทรุด” มีการเปิดเผยมานานแล้ว แต่กลับไม่มีใครมาศึกษา เพื่อหาทางออกในอนาคตว่า กรุงเทพฯ ควรรับมือหรือปรับตัวยังไง



เทียบกับประเทศที่เจอปัญหาคล้ายๆ เรา อย่าง “เนเธอร์แลนด์” ที่ 1 ใน 4 อยู่ “ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล” และมีปัญหาดินทรุดเหมือนกัน เขาเริ่มแก้ปัญหาต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี

หรืออย่าง “เมืองเวนิส” ที่อิตาลี ก็ใช้เวลาเกือบ 40 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เมืองต้องจมน้ำ ส่วนในบ้านเมืองเรานั้น...

“วันนี้ไม่มีทำอะไร นี่คืออันตรายมากๆ เพราะน้ำทะเลมาแล้ว มันขอโทษกันไม่ได้นะ มันสายเกินไป”



สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ :
X @renesmelune_, @SharkeyMar70095, @oddybu, @TarotYouuuu, @Mr_Whathapened, Facebook “ดาวแปดแฉก”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น