“สร้างภาพ” ให้ผู้คนยึดเหนี่ยวจากศรัทธา ก่อน“ผันเป็นเงิน” หลักล้าน!! หากินผ่านเรื่อง “บาป-บุญ” และ“ความสงสาร” และนี่คือ“กลยุทธ์ดึงเงินออกจากกระเป๋า” จนปั้นให้เกิดอาชีพ“มิจฉาชีพในคราบนักบุญ” หากินในสังคมไทย จนยอดบริจาคพุ่งสูง ถึงปีละ 1.5 แสนล้าน!!
** ชีวิตไม่แน่นอน แอบอ้างตัวให้ “ยึดเหนี่ยว” **
ไม่ใช่ประเทศที่รวยที่สุด แต่กลับเป็นประเทศที่ “ใจบุญ” ติด Top10 ระดับโลก!! ใช่ เรากำลังหมายถึง “ประเทศไทย” นี่แหละ
จากรายงาน “World Giving Index 2024” พบว่า จาก 140 ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยเราติด “อันดับที่ 10” ประเทศที่คน “บริจาคเงิน” มากที่สุด!!
สอดคล้องกับสถิติจาก “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ก็บอกไว้ว่า “ตลาดการกุศลไทย” โตถึงปีละ 2% และคาดว่าภายในปีนี้ (2568) จะมีมูลค่าการบริจาคพุ่งสูงถึง “1.5 แสนล้านบาท”
โดย “แรงจูงใจ” ที่ทำให้คนบริจาคนั้น ข้อมูลระบุเอาไว้เลยว่า เหตุผลที่มาแรงเป็น “อันดับ 1” คือ “การทำบุญตามความเชื่อทางศาสนา”
ส่วนอันดับที่ 2, 3 และ 4 คือ “การช่วยเหลือสังคม” , “การบริจาคในเหตุฉุกเฉิน” และ “เอาไปลดหย่อนภาษี” (เรียงตามลำดับ)
ประเด็นคือพอขึ้นชื่อว่าคือ “การทำบุญ” หลายคนก็มักจะยอมควักเงินให้ โดยไม่กล้าหรือไม่อยากตั้งทำถาม จนหลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงหลังๆ มานี้ ยิ่งกลายเป็นบทเรียนให้เห็นชัดมากขึ้นว่า
กลายเป็นช่องทางหากินของ “มิจฉาชีพห่มเหลือง” รวมถึงคนที่อ้างตัวว่าเป็น “ผู้วิเศษ” เข้ามาตักตวงผลประโยชน์มากมายขนาดไหน
ถามว่าอะไรที่ทำให้คนกลุ่มนี้ สามารถดึง“เงินแห่งศรัทธา” จากผู้คนไปได้มากมาย ตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงหลักล้าน? “ผศ.ดร.อภิชญา ไชยวุฒิกรณ์วานิช”อาจารย์ประจำวิชาจิตวิทยาสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ช่วยวิเคราะห์เอาไว้ให้แล้ว
หลักๆ เลยคือ เกิดจาก “ธรรมชาติของมนุษย์” ที่มักจะมองหา “สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ”จากชีวิตที่ไม่มีอะไรแน่นอน เต็มไปด้วยสิ่งที่ควบคุมและคาดเดาไม่ได้ จนผลักให้คนจำนวนไม่น้อย ต้องการอะไรสักอย่างมาเป็น “คำตอบให้ชีวิต”
“คนทุกคน อยากจะมีใครสักคนนึงที่เป็นไอดอล เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เป็นคำตอบของชีวิต”
เวลาคนมี “ความทุกข์” หรือ “ความอึดอัดใจ” ใครก็ตามที่สามารถมาเสนอทางออก วิธีแก้ไขปัญหาชีวิตของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะ “พระ” หรือ “ผู้วิเศษ”ผู้คนก็จะเชิดชู ยกให้เป็นฮีโร่ในใจพวกเขาไปในที่สุด
{“ผศ.ดร.อภิชญา” อาจารย์ด้านจิตวิทยาจุฬาฯ}
และเมื่อมารวมกับ “การสร้างภาพ” ของคนพวกนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่อ้างตัวว่าคือ “ผู้วิเศษ” ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติแต่ละราย ที่หยิบมาเป็นจุดขาย มักจะเจอเข้ากับเรื่องราวที่คล้ายๆ กันก็คือ ล้วนมาจาก “คนที่ไม่มีอะไรเลย”
แล้วบอกเล่าประวัติเอาไว้ว่า ด้วยความพยายาม ตั้งใจทำความดี จนในที่สุดก็ได้ดี หรือกลายเป็นคนมีเงินทอง มีการศึกษาดี กระทั่งมาถึงจุดดวงตาเห็นธรรม ยอมสละทุกอย่างเพื่อช่วยคนอื่น จนก่อให้เกิดความรู้สึก “ศรัทธา” ที่อยู่เหนือเหตุผล
“เพราะฉะนั้น ศรัทธา บางทีมันเหมือนกับความรักอะ ทำให้คนตาบอด ที่เราเคยได้ยิน มันก็เช่นเดียวกัน พอเราศรัทธาอะไร เราก็จะมองเขาดีไปหมดเลย ไอ้สิ่งที่ไม่ดี เราก็มองข้าม แก้ตัวให้อีกต่างหาก”
** 4 จิตวิทยา หลัก “ดึงเงิน” จากศรัทธา **
ส่วนกลเม็ด “การผันศรัทธาให้เป็นเงิน” นั้น หลักๆ เลย “วิธีที่ 1” คนพวกนี้จะเน้นเล่นกับ “ความไม่รู้ของคน” จากสิ่งที่ยังเชื่อว่า ชีวิตเราถูกควบคุม หรือกำหนดเอาไว้แล้ว ด้วย “สิ่งที่มองไม่เห็น”
โดยเฉพาะในสังคมไทย ที่เชื่อว่า “บาป-บุญ” เป็นตัวกำหนดชีวิตคนเรา ฉะนั้น ทางออกที่คนพวกนี้เสนอคือ “การทำบุญ” ซึ่งผลักให้หลายคนยอมจ่าย เพื่อหวังว่าบุญที่ทำไป จะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้
นอกนั้น ยังมีเทคนิคดึงเงินเพิ่ม ด้วย “วิธีที่ 2” คือ “การเรียกคะแนนความสงสาร” อย่างการบริจาคให้คนยากไร้ คนป่วย หรือคนพิการ ซึ่งในใจคนบริจาคส่วนนึงก็อยากช่วยจริงๆ แต่อีกใจก็หวังว่า จะทำให้ชีวิตในชาตินี้ดีขึ้นได้ หรือไม่ก็ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์
“ถ้าเราทำบุญ เราจะได้ขึ้นสวรรค์ ได้ดิบได้ดีในชาตินี้ เพราะงั้น มันก็มีแรงขับอยู่แล้ว บวกกับความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจ ถ้าเขาใช้เทคนิคการตลาดที่ดี แต่ว่าที่ดีของเขา แต่ไม่ดีของเรา เราก็ใจอ่อน เห็นอกเห็นใจ แล้วก็ให้”
หรือหนึ่งเทคนิคที่นิยมใช้ “ดึงเงิน” จากเหล่าคนใจบุญ คือ “วิธีที่ 3” การอ้าง “ความเร่งด่วน”เพื่อให้เกิดการตัดสินใจอย่างรวดเร็วกว่าสถานการณ์ปกติ
ยกตัวอย่างกรณี “วัดพระบาทน้ำพุ”ที่ชอบออกมาบอกว่า องค์กรจะไปต่อไม่ไหว ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่มีอยู่มากมายไม่ได้อีกแล้ว เพราะขาดทุนทรัพย์ สุดท้ายผู้คนก็เร่งระดมเงิน ช่วยกันบริจาค โดยไม่ตั้งคำถามอะไรเลย
{สร้าง “ความสงสาร” เรียกเงินบริจาค}
และเทคนิคสุดท้าย “วิธีที่ 4” ที่สำคัญมากๆ ในการดึงเงินให้สำเร็จได้แทบทุกครั้ง คือการใช้ “จิตวิทยาหมู่” โดยในตอนแรก บางครั้งบางคนอาจไม่ได้อยากควักกระเป๋า แต่เมื่อเห็นคนจำนวนมาก พร้อมใจกันบริจาค ก็จะทำให้คล้อยตาม ด้วยความไม่อยากรู้สึกแปลกแยกจากสังคม
“เราไม่บริจาค คนอื่นเขาบริจาคกันหมดเลย ความไม่รู้ หรือความแตกต่าง เราไม่อยากเป็นตัวแปลกแยกของสังคม เราอยากเข้ากลุ่มไป เราก็บริจาคตาม”
** มหากาพย์ “เสื่อมศรัทธา” พระดัง-ผู้วิเศษ **
“เสื่อมศรัทธา” คืออาการล่าสุดของชาวพุทธ หลังเกิดคดีใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “พระดัง”รวมถึง “ผู้วิเศษ” ที่ผู้คนเลื่อมใส ตบเท้าเข้าห้องกรงกันเป็นแถว
ไล่มาตั้งแต่อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง “สมีแย้ม” ที่ “โกงเงินวัด”ไปเล่นพนันออนไลน์ เปย์สีกา มาจนถึงเหล่า “พระผู้ใหญ่”นับสิบรูป พร้อมใจกันลาสิกขา เพราะ “เสพเมถุน”กับ “สีกากอล์ฟ”
แถมยังโดนสีการายนี้ถ่ายคลิปแบล็กเมล์รีดทรัพย์ จนต้องโอนเงินปิดปาก ตั้งแต่คนละ “หลักแสน” ถึง “หลักหลายล้านบาท”
{“สีกากอล์ฟ” นารีพิฆาตสงฆ์}
หรือจะคดีดังล่าสุดของ “ทิดอลงกต” อดีตเจ้าอาวาส “วัดพระบาทน้ำพุ”กับ “หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ” ที่ตำรวจตั้งข้อหาร่วมกัน “ยักยอกทรัพย์และฟอกเงิน” จากเงินบริจาคของวัด ซึ่งเจอว่ามีเส้นเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท
ล่าสุด เพิ่งมีข่าวลือว่า ผู้วิเศษอีกรายอย่าง “เจน ญาณทิพย์ (พรนฤมล เรียบร้อยเจริญ)”อดีตพิธีกรดังจากรายการ “คนอวดผี” ที่ถูกครหาว่า มีเอี่ยวคดีเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุอีกราย
{“ทิดอลงกต” อดีตเจ้าอาวาส วัดพระบาทน้ำพุ}
แต่เจ้าตัวออกมาปฏิเสธผ่านเฟซบุ๊กแล้วว่า ไม่เคยเปิดรับบริจาคให้วัดพระบาทน้ำพุ หรือทิดอลงกตเป็นการส่วนตัว มีแค่ครั้งเดียวที่เคยเป็นตัวแทน “บริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)”มอบเงินจากโครงการ “ทำดีอวดผี”
โดยการร่วมบุญครั้งนั้น ก็เป็นไปเพื่อสร้าง “อาคารคนทำดีอวดผี”สำหรับผู้ป่วยโรคเอดส์ ส่วนประเด็นเงินบริจาคนั้น เธอชี้แจงเอาไว้ว่า กำลังรวบรวมหลักฐานการทำบุญอยู่ และจะเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
{“หมอบี” ทูตสื่อวิญญาณ}
** “ผู้วิเศษจอมปลอม” ไม่มีวันหมดไป **
จากเคสทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ คือตัวอย่าง “มหากาพย์เสื่อมศรัทธา” ที่ทำให้ผู้คนหันมาตั้งคำถามกับ “เงินบริจาค” กันมากขึ้นเรื่อยๆ
คำถามคือ ถ้าข่าวพวกนี้เริ่มซาลง จะเกิด “มิจฉาชีพในคราบนักบุญ” รายใหม่ผุดขึ้นมา แล้วใช้บุญมาหลอกดูดเงินคนไทย ให้ “คนใจบุญ” ที่ยังรู้ไม่เท่าทัน ถูกหลอกซ้ำรอยอีกหรือเปล่า?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ กูรูด้านศาสนาอย่าง “โจ้” รศ.ดนัย ปรีชาเพิ่มประสิทธิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ฟันธงกับเราเอาไว้เลยว่า จะเกิดขึ้นซ้ำๆ อีกแน่นอน
“ตราบใดที่สังคมเรายึดติดบุคคลมากกว่าหลักการ ก็จะมีผู้วิเศษรายใหม่เกิดขึ้นมาอีกแหละ บางทีก็ไม่เข็ดกัน เพราะงั้นไม่ว่าคนใหม่มา จะเป็นพระ จะเป็นฆราวาส เดี๋ยวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก ตราบใดที่คนไทยยังไม่ตื่นรู้อย่างแท้จริง”
ทุกวันนี้ มีคนจำนวนนึงในสังคมที่ “ตื่นรู้” และคิดมากขึ้นเวลาจะทำบุญแล้วว่า เงินจากความปรารถนาดีของเรา จะไปอยู่ตรงไหน ถูกใช้ไปทำอะไร แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคง “ยึดติด”กับตัวบุคคล มากกว่าหลักคำสอนอย่างที่ควรจะเป็น
ฉะนั้น คนกลุ่มเดิมที่ยังไม่ตาสว่าง เขาก็จะรู้สึกแค่ “ผิดหวัง” จากคนหลอกลวงกลุ่มเดิม แล้วเดี๋ยวก็จะไปหา “พระ” หรือ “ผู้วิเศษ” รายใหม่ มายึดเหนี่ยวจิตใจใหม่ สุดท้ายก็จะถูก “ศรัทธาบังตา” บริจาค ทำทาน แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง จนทำให้เกิดภาพประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง และอีกครั้ง
เรื่องนี้ต่อให้มีระบบตรวจสอบเงินบริจาควัด หรือการตรวจสอบบัญชีของอินฟลูฯ สายบุญเข้มข้นมากแค่ไหน สุดท้ายมิจฯ ในคราบนักบุญเหล่านี้ ก็จะหาช่องโหว่ ใช้ศรัทธามาเป็นเกราะกำบัง ดูดเงินบริจาคจากผู้คนได้อยู่ดี
{“โจ้” (รศ.ดนัย) ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาพุทธ}
ถ้าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้อย่างยั่งยืน อาจจะต้องไปแก้ตั้งแต่ “ระบบการศึกษา” เพราะการศึกษาไทยแต่ไหนแต่ไรมา “สอนให้เด็กเชื่อ” โดยแทบไม่ได้สอนให้วิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล หรือไม่ได้สอนให้กล้าตั้งคำถาม
จึงไม่แปลกถ้าจะมีคนโตขึ้นมาแล้ว ไม่กล้าวิจารณ์ ไม่กล้าตั้งคำถาม กับความผิดปกติในวงจร “ความศรัทธา” เพียงเพราะ “กลัวผิดบาป”
สุดท้าย ผู้วิเศษพวกนี้ก็จะยังคงมีอยู่ และจะอยู่ตลอดไป เพราะ “คนในสังคมอ่อนแอทางใจ” จนต้องวิ่งหาที่พึ่ง ทั้งจากปัญหาสังคม เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ การเมืองไม่นิ่ง “คนไม่รู้จะฝากชีวิตไว้ที่ใคร” ก็ต้องพึ่งสิ่งที่มองไม่เห็น พึ่งผู้วิเศษ
“ตราบใดที่คนคนนั้น ยังไม่มีคดี ยังไม่ถูกแฉ เราก็ยังรู้สึกว่า เฮ้ย..เขาก็ยังเป็นที่พึ่งให้เราได้ ผมคิดว่าคนอย่างนี้ยังมีเยอะกว่า เพราะสังคมเรายังไม่เข้มแข็งหรอก แล้วเราก็ยังต้องการคนยึดเนอะ เราทุกคนในสังคมก็ยังอ่อนแอไง”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพ : Facebook “ธรรมรักษ์ รักษาธรรม”, “เอ จักรพรรดิ”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **