xs
xsm
sm
md
lg

“ชีวิตมันต้องเดิมพัน” แลกอาชีพที่รัก หยุด “ถือชอล์ก” สอนเด็ก เปลี่ยน “สวมนวม” ปล่อยหมัดเวทีโลก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ขอเดิมพันด้วยชีวิต “ฟ้าใส-ท็อป พีเค.แสนชัยมวยไทยยิม” เดินสายชกมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ยอมตัดสินใจทิ้งอาชีพ“แม่พิมพ์”ลุยสังเวียนนักสู้เต็มตัวใช้เวทีมวย เป็นช่องทางหาเลี้ยงครอบครัวฟอร์มโดดเด่นเข้าตาแฟนมวย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ชกสนุกทุกครั้งตั้งเป้าจะเป็น “นักมวยหญิง” ที่ประสบความสำเร็จให้ได้


ทิ้งอาชีพแม่พิมพ์ ก้าวสู่สังเวียน

“ชีวิตมันต้องเดิมพัน ก็เลยลาออก ถ้าเราไม่ทิ้งอะไรสักอย่างนึง เราถือไป2อย่าง มันจะไม่ถึงฝัน ก็เลยเดิมพันในการลาออกจากอาชีพครู มาใช้อาชีพมวยจริงจังค่ะ”

“ฟ้าใส-ท็อป พีเค.แสนชัยมวยไทยยิม” หรือ “ใบเตย-สริญณา จางวาง” นักมวยวัย 29 ปี ที่ขอโบกมือลาอาชีพครู สู่นักมวยอาชีพ

เธอมีผลงานโดดเด่น คือการคว้ารองแชมป์ Road To ONE Thailand ซีซั่น 2 ผ่านการชกมาแล้ว 143 ไฟต์ ชนะ 82 ครั้งเดินสายชก ด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว จนฟอร์มการชกบนสังเวียนโดดเด่น เข้าตาแฟนมวย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ

ตัดสินใจลาออกจากอาชีพครูอัตราจ้าง ที่สอนเด็กอยู่ร่วม2ปีแล้วเบนเข็มทิศ เพื่อทุ่มเทกับการชกมวยอย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าจะเป็นนักมวยหญิงที่ประสบความสำเร็จให้ได้

เธอบอกถึงว่า ที่ตัดสินใจทิ้งอาชีพแม่พิมพ์ สู่สังเวียนอย่างจริงจังเพราะเห็นรายการ ONE ลุมพินี เปิดโอกาสให้นักมวยหญิงมากขึ้น ทั้งค่าตัว และชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นสาเหตุหลัก ที่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพครู เพราะต้องการทุ่มเทกับการชกมวยอย่างเต็มที่
 

 
 “ถ้าถามว่าทําไมถึงตัดสินใจออกจากอาชีพครู ตอนนั้นมันมีรายการที่ได้ชก ก็คือรายการ ONE ลุมพินี เป็นสาเหตุหลัก ที่อยากจะลาออก ฝันไว้ว่าอยากจะชกรายการนี้ค่ะ แต่ว่าถ้าเราทํางานอยู่ การซ้อม เวลาการพักผ่อน เราจะไม่มีเลย ก็คือถ้าเราทํางานอยู่ เราจะไม่มีโอกาสมาชกในรายการนี้เลย”

เธอพูดด้วยท่าทีเหมือนกำลังจุกอยู่ในอกว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก ที่ออกจากเส้นทางอาชีพครูที่รักมากเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้ อยากทำในสิ่งที่อยากทำให้ดีที่สุดก่อน แต่สัญญาว่าจะไม่ทิ้งจิตวิญญาณของความเป็นครูแน่นอน

“ตอนตัดสินใจลาออกจากครู มีร้องไห้ไหม ไม่มีนะคะ คิดดีแล้ว ว่ามันต้องออกมาจากตรงนั้น เพื่อที่จะทําสิ่งที่เราชอบ ก็มีปรึกษาที่บ้าน ซึ่งที่บ้านก็สนับสนุนในสิ่งที่เราชอบ ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นครูนะ ห้ามทิ้งนะ ที่บ้านไม่ได้บังคับเลยค่ะ สนับสนุนทุกอย่างที่เราชอบ

พูดถึงแล้วขนลุกเลย ก่อนที่จะเดิมพันชีวิตตัวเอง ก่อนที่จะทิ้งอาชีพครู ถ้าถามว่ารักอะไรมากกว่ากัน มันตอบยากนะคะ ด้วยความที่เราก็รักในการสอนด้วย อาชีพมวยด้วย มันทําคู่กันไม่ได้

แต่ว่าอาชีพครู ก็คือหน้าที่ มวยก็คือความชอบ ตอนนั้นอยากทิ้งหน้าที่ก่อน เกิดมาเราต้องทําอะไรที่มันชอบสักครั้งนึงในชีวิต ต้องเต็มที่ ก็เลยทิ้งอาชีพครู มาเอาอาชีพมวยที่เราชอบก่อน

เลิกเป็นครูแล้ว แต่ไม่ทิ้งจิตวิญญาณความเป็นครูนะคะ ยังสอนได้อยู่ แล้วก็ยังสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับนักเรียนได้อยู่เหมือนกัน”




หลายคนอาจจะมองว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่สำหรับเธอ เธอมองว่า อาชีพไหนก็มั่นคงได้ ถ้าเรารู้จักวางแผนการใช้เงินให้ดี

“หลายๆ คนก็จะมองว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มั่นคงกว่าอาชีพมวย ซึ่งหลายคนก็คิดว่ามวย อายุการชกมันน้อย แต่หนูมองกลับกัน ด้วยความที่หลายๆ คนคิดว่า ระยะการชกมันน้อย ยิ่งผู้หญิงยิ่งน้อย มันอยู่ที่เราดูแลตัวเองมากกว่า บางคน30กว่า ก็ยังชก มีแรงอยู่

แต่เราได้คิดต่างออกไป ถ้าเรามีการวางแผนการใช้เงิน เราก็จะไม่ได้ดูด้อยค่า จากอาชีพครูไปสักเท่าไหร่เลย ถ้าเราเป็นครู ถ้าคิดว่ามั่นคงกว่า แต่เราใช้เงินไม่มีการวางแผน เงินเดือนก็หมดไปแค่นั้น

แต่ถ้าเราเป็นนักมวย เราได้เงินมา เราสามารถแบ่ง แล้วเอาเงินไปลงทุน วางแผนการใช้เงินได้ เราก็จะมีชีวิตที่ยั่งยืนเหมือนกันค่ะ มีเก็บ มีแบ่งบ้าง ตามสัดส่วน ตามความจําเป็น ที่เราได้มา”

เป้าหมายแรกตอนนี้ คืออยากทำฟอร์มให้ประทับใจ เพื่อให้ได้โบนัส และนำเงินไปต่อยอดจากทุนเดิม ช่วยให้ครอบครัวอยู่สุขสบายขึ้น

ส่วนเป้าหมายสูงสุดก็คือ อยากเป็นแชมป์รายการ ONE ลุมพินีแต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้ เธอบอกว่า ก็ต้องพัฒนาศักยภาพตัวเอง ให้เหมาะกับตำแหน่งให้ได้

“ตอนนี้ก็คือยังอยากชกไปเรื่อยๆ อยู่ แล้วก็ทําหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด ถ้าถามว่าอยากเป็นแชมป์ไหม ก็อยากนะคะ แต่เราต้องดูศักยภาพตัวเองด้วย นักมวยทุกคนอยากเป็นแชมป์หมด อยากมีค่าตัวดีหมด แต่ถ้าเราไม่ได้มองศักยภาพตัวเอง มันก็ไม่กล้าพูดเต็มปากอีกอยู่ดี

ใครก็อยากเป็นแชมป์ อยากได้ค่าตัวเยอะๆ แล้วก็อยากได้โบนัส อยากได้ทุกอย่าง แต่มันก็ไม่พ้นตัวเองอยู่ดี ที่เราจะต้องทําให้เต็มที่ จุดสูงสุดคือ ทําให้มันสนุก แล้วก็ทําให้มันมีความสุขค่ะ”


เรียนจบครูได้ เพราะอาชีพมวย

เธอบอกว่า มีความฝันอยากเป็นครูตั้งแต่เด็ก เพราะเป็นคนชอบสอนหนังสือพร้อมกับใช้เวทีมวย เป็นช่องทางหาเลี้ยงครอบครัว และส่งตัวเองเรียน ควบคู่กับการฝึกซ้อมและแข่งขันมวยไปด้วย

“ก็ชกมวยส่งตัวเองเรียน จนเรียนจบ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ สาขาวิชาพลศึกษา คณะครุศาสตร์ เป็นครูพละ ตอนนั้นพอเรียนจบ ก็ได้เป็นครูอัตราจ้าง ยังไม่ได้สอบบรรจุค่ะ ตอนนั้นก็ชกมวยด้วยนะคะ ก็สอนได้ทุกอย่างค่ะครูพละ ก็สอนเกี่ยวกับวิชาพลศึกษา เกี่ยวกับการออกกําลังกาย สอนยังไงให้เด็กรักชอบในกีฬา

เรียนจบครูได้เพราะอาชีพมวย ต่อยให้กีฬาจังหวัด กีฬาเยาวชน กีฬาแห่งชาติ ต่อยให้โรงเรียน กีฬานักศึกษา แล้วก็กีฬามหา’ลัย

พอเราได้เป็นนักกีฬามหา’ลัย เราได้เหรียญมา เราได้รางวัลมา เขาก็จะมีทุนเรียนฟรีให้เรา เราก็สามารถลดค่าใช้จ่ายจากตรงนั้นได้ แล้วก็เอาเงินจากมวยอาชีพ มาจ่ายพวกค่าชีทเรียน ค่าหนังสือ”




เธอเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กว่า ครอบครัวค่อนข้างยากจน ทำให้ต้องเติบโตมากับชีวิตที่ต้องดิ้นรนตั้งแต่เด็ก เริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 5 ขวบ

“ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย มีกินมีใช้ขนาดนั้น แล้วที่บ้านสอนว่า อยากมีต้องหาเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทํางานตั้งแต่อายุ5ทําทุกอย่าง เริ่มเก็บเงิน เริ่มทํางานเพื่อค่าขนม

ตั้งแต่ตอนนั้นมา ก็ไม่ได้ขอตังค์พ่อแม่แล้วค่ะ มันก็จะเป็นช่วงที่เรียนฟรีอยู่ ก็หาเงินค่าขนมด้วยตัวเอง พอหลังอายุ 15ก็จะชกมวยอย่างเดียวเลย ไม่ทําอาชีพอื่นแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ก็จะมีไปเย็บปักถักร้อย จ้างทํากระทง ก็พออยู่ได้

ทําไมเราต้องสู้มากกว่าคนอื่น หรือใช้ชีวิตไม่ได้สบายกว่าคนอื่น ไม่เคยคิดเลย มันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็แค่ทํา แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไป ทําให้มันดีขึ้นกว่าเดิม มองต้นกําเนิด ว่ามันเป็นยังไง ก็แค่ไปทําให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ แค่นั้นเอง มีความสุขกับมันค่ะ”

กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เธอยอมรับว่าเหนื่อยมาก แต่ก็อดทน และสู้มาตลอด เพราะต้องแบ่งเวลาซ้อม และเวลาเรียนให้ลงตัว

“เหนื่อยมาก ซึ่งเราต้องแบ่งเวลาให้เป็น อย่างเพื่อนๆ ที่ไม่ได้ทํางาน ไม่ได้ทําอาชีพอื่น เขาก็มีหน้าที่มาเรียน แล้วก็กลับบ้าน ไปทําการบ้าน ซึ่งเราต้องเหนื่อยกว่าเขา ต้องตื่นเช้า

อย่างมหา’ลัยไปเรียน 9 โมง ซ้อมตอนเช้า วิ่งเช้าเสร็จ กินข้าวมาเรียน เรียนเสร็จ ถ้าตอนบ่ายมีเรียน ก็ไปเรียน ตอนเย็นก็มาซ้อม แต่ถ้าตอนบ่ายไม่มีเรียน ไปเรียนตอนเย็น ก็เลื่อนจากที่ซ้อมตอนเย็น มาเป็นซ้อมตอนบ่าย ต้องสลับเวลาวนอยู่อย่างนี้ค่ะ”

เธอบอกอีกว่า ในอนาคต ถ้าแขวนนวมแล้ว ก็ยังไม่คิดว่าจะกลับไปเป็นข้าราชการครู แต่อยากจะเป็นครูมวย ที่เผยแพร่วิชามวยไทย ให้กับคนอื่น โดยเฉพาะเด็กๆ ให้ได้รู้สึกรักชอบ ในกีฬามวยไทย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกีฬา ด้านอาชีพ หรือการออกกําลังกาย โดยใช้มวยไทยเป็นหลัก

“ไม่ถึงกับคําว่าโค้ชค่ะ ก็แนวแบบว่าก็คล้ายๆ ครู แต่ว่าเราไม่ได้เป็นครูในสถานศึกษา เป็นครูมวย หรือมีสถาบันตัวเองก็ได้ เอาประสบการณ์ ที่เราเคยผ่านมาไปสอน ไปเผยแพร่ค่ะ”


นอกจากการเป็นนักมวยแล้ว เธอยังมีใบประกอบวิชาชีพครูมวย เป็นครูฝึกสอน C-License รุ่นที่ 25 จากกรมแรงงาน ที่สามารถนำไปสอนได้ทั่วโลก

“ปัจจุบันก็ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาผู้ฝึกสอนมวยไทยระดับหนึ่ง แล้วก็ได้ C-License ของมวยไทย

มันเหมือนใบประกอบวิชาชีพค่ะ ที่เราจบมา แล้วมีใบรองรับ ว่าเราสามารถสอนมวยไทยได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ ที่จะมาสอน คือเราผ่านการอบรม การเรียนรู้มา มันคือใบรองรับอาชีพ ที่สามารถใช้ได้ทั่วโลกเลยค่ะ”

 [ใบรับรองอาชีพครูมวย ที่สามารถสอนได้ทั่วโลก]
จุดเริ่มต้นตอนอายุ 15 สนุกเหมือนเล่นเกม

เดิมทีที่บ้านเป็นค่ายมวยอยู่แล้ว ชื่อ “ค่ายเลี้ยงประเสริฐ” ทำให้เธอซึมซับอาชีพมวยมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนเด็กๆ ก็ไม่เคยคิดอยากจะชกมวย หรืออยากจะยึดมาเป็นอาชีพ

และแล้วจุดเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางนี้ ก็เกิดขึ้นตอนอายุ 15 ปี วันนึงเธอไปดูมวยกับพ่อที่ จ.ตาก แล้วบังเอิญมีคู่ชกขาด เธอก็เลยอาสาอยากลองขึ้นชกแทน นั่นเป็นการขึ้นเวทีครั้งแรก ที่ไม่ได้ตั้งใจ และเตรียมตัวมาก่อนเลย

“ก็เคยซ้อมมาบ้างค่ะ ประมาณ 9 ขวบ แต่ก็ไม่ได้จริงจัง แต่ซ้อมเหมือนออกกำลังกาย และไม่ได้คิดว่าเราจะได้ชกจริงๆ วันนั้นกะไปเที่ยวอย่างเดียว

สาเหตุหลักที่เราไม่ได้สนใจ ไม่ใช่เพราะเพราะว่าพ่อแม่ไม่ให้ชกมวย พ่อแม่สนับสนุนมากค่ะ อยากให้ชกมวยมาก เพราะว่าที่บ้านเป็นค่ายมวย แต่ด้วยตัวเราเองที่ไม่สนใจ เห็นแล้วมันเจ็บ

แต่ทีนี้ อยู่ดีๆ มันก็อยากลองขึ้นมาค่ะ แล้วก็เลยเข้าไปชก พอชกปุ๊บ มันได้เงินดีกว่า ที่เราทําอาชีพก่อนหน้านี้ ชกครั้งแรก ก็ได้เงิน 500 บาท ซึ่งเงิน 500 บาท มันได้ไวมาก ตอนนั้นหนูชก 3 ยก ชกเสร็จ หนูก็ได้เงินเลย 500 บาท ซึ่งมันไม่ได้เงินแค่ค่าตัวอย่างเดียว มันได้เงินอัดฉีด ได้เงินพิเศษจากคนดู ไหว้ครูสวยงาม เขาก็ให้

ไฟต์นั้นก็รวมกันก็หลายพันอยู่ ซึ่งเราทํางานที่เราเคยทํามาก่อน วันนึงไม่ถึง 300 ด้วยซ้ำ ตั้งหลายชั่วโมง ชกมวยมันแป๊บเดียว แต่หลายบาท ก็เลยติดใจจากตรงนั้น ก็คือแรงบันดาลใจนึง ที่อยากจะชกมวยต่อค่ะ”

 

 
 นอกจากแรงบันดาลใจจากค่าตัวในแต่ละครั้งแล้ว เธอยังรู้สึกสนุก จึงอยากจะเบนเข็มชีวิต เข้าสู่เส้นทางนี้ต่อ ซึ่งเธอบอกว่า รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง ตั้งแต่ไฟต์แรกยันไฟต์ปัจจุบัน

คนดูไม่เท่าไหร่ค่ะกับคนดู ถามว่าตื่นเต้นไหมกับคนดู ไม่ตื่นเต้นค่ะ ตื่นเต้นแค่แบบว่าชั่ววูบแป๊บเดียว พอขึ้นไปบนเวทีแล้ว รู้สึกไม่ตื่นเต้นแล้ว

“ไฟต์แรกตอนนั้นไม่กดดัน รู้สึกสนุกมากกว่าค่ะ ผลก็คือแพ้น็อก โดนกรรมการยุติ เพราะว่าสู้ไม่ได้ เจ็บ แต่ก็ยังอยากชกอยู่ ตอนนั้นเจอมวยที่เขาเป็นแชมป์เลยนะคะ กรรมการเห็นแล้วสู้ไม่ได้จริงๆ เขาก็จับยุติไปค่ะ”


สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสนุก ในอาชีพนักมวยก็คือ มันเป็นเหมือนการเล่นเกม และไม่ใช่เพียงแค่กำลังเท่านั้น การใช้สมองอ่านเกมคู่ต่อสู้ก็สำคัญด้วย

“มันเหมือนเราเล่นเกม ไม่ใช่ใส่กันอย่างเดียว มันก็ต้องอ่านแล้วว่า คู่ต่อสู้จะทําอะไรเรา เราจะทํายังไงต่อในยกต่อไป แต่ละคนเราเจอคู่ชกมันไม่เหมือนกัน คนละด่าน ก็เลยรู้สึกสนุกขึ้นมา

กีฬามวย มันเป็นกีฬาที่ไม่ได้ใช้กําลังอย่างเดียว มันต้องใช้สมองในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แก้เกมบนเวที แต่ละคน การออกอาวุธไม่เหมือนกัน คนนี้เราจะแก้ยังไง อีกคนนึงเราจะต้องแก้ยังไง นี่คือความสนุกของกีฬามวยค่ะ

ตั้งแต่ไฟต์แรก จนประมาณไฟต์ที่ 6 เธอบอกว่า ไม่เคยชนะเลย จนท้อ แต่ก็ได้คำสอนจากพ่อ เป็นแรงใจสำคัญ ในการเติมไฟฝัน เพื่อให้เดินหน้าต่อทุกครั้ง

 [พ่อคือครูมวยคนแรก ที่ซัพพอร์ตเต็มที่]


“มีช่วงนึงที่พ่อบอกว่า ถ้าเราไม่พยายาม มันก็ยังไม่สําเร็จ ก็เลยรู้สึกมีไฟขึ้นมานิดนึง มันต้องมีวันนึง ที่มันเป็นของหนู ก็เลยซ้อมต่อ แล้วก็ไปชกใหม่ พอเราชนะ มันมีกําลังใจ ก็เลยอยากไปต่อ

จากที่แพ้มาติดๆ แล้วก็เรียนรู้แต่ละครั้งที่แพ้นะคะ ไม่ใช่ว่าแพ้แล้วแพ้เลย ไปศึกษาว่าเราแพ้ยังไง เราก็มาแก้ตรงที่เราด้อยตรงนั้น สมมติเราด้อยในการหลบ ก็มาแก้ในการหลบ ให้มันดีขึ้น พยายามฝึกให้มากกว่าเดิม

โตมากับพ่อ พ่อก็คอยให้กําลังใจ คอยสอนทุกอย่าง ส่วนมากจะเป็นพ่อที่เติมไฟให้ทุกครั้ง”

นอกจากนี้ เธอยังมีฉายา ว่าเป็น“นักชกปากแดง”และแฟนๆ ก็มักจะเข้ามาชื่นชมเธอเสมอ ในการออกอาวุธกับคู่ต่อสู้

“จุดขายของเรา ที่สังเกตเห็น ว่าน่าจะเป็นตัวเรา ก็คือเวลาชกต้องปากแดง เหตุผลที่ต้องปากแดง ไหว้ครูมีท่าสาวน้อยปะแป้ง ก็คือต้องแต่งหน้า เพราะฉะนั้นเราต้องทาปากแดง ก็จะมีคนเรียกบ้าง นักชกปากแดงค่ะ

แฟนๆ มาขอถ่ายรูป ส่วนมากก็จะมาชม ว่าชอบตอนที่เราออกอาวุธ ชอบที่เราเป็นคนร่าเริง ตอนชกก็จะยิ้มตลอดเวลา ถ้าเราไม่กดดัน เราจะสนุกไปกับเกมจริงๆ ถ้าไฟต์ไหนยิ้ม ก็คือไฟต์นั้นคือมีความสุขมาก ถ้าไฟต์ไหนไม่ยิ้ม แสดงว่ากดดันค่ะ”

 [ลีลาไหว้ครู ท่าสาวน้อยประแป้ง]


โดนต่อยหน้าพัง จนอยากเลิกชก

ความรู้สึกที่อยากเลิกชกมวยไปเลย เกิดขึ้นเมื่อตอนที่ยังเด็ก เริ่มชกได้ไม่นาน แล้วไฟต์นั้น เธอโดนฟันศอก หน้าแตก ด้วยตอนนั้นกำลังเป็นวัยรุ่น กลัวหน้าพัง กลัวไม่สวย จึงบอกพ่อว่า ไม่อยากชกอีกแล้ว แต่ก็ได้คำพูดพ่อ คอยให้กำลังใจ ที่เชื่อว่าเธอน่าทำได้ดีกว่านี้แน่นอน

“ถ้าถามว่ามีที่อยากจะเลิกไหม มีค่ะ น่าจะเป็นไฟต์ที่ยังเป็นเด็กอยู่ ตอนนั้นแตกครั้งแรกในชีวิต แตกตรงแก้ม ตอนนั้นรู้สึกเฟลเลย ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง แล้วเป็นแผลที่หน้า มันก็รู้สึกว่า ไม่สวยแน่ๆ เลย ก็เลยรู้สึกไม่อยากต่อยแล้ว

โดนฟันศอกค่ะ ตอนนั้นอยู่ประมาณ ม. 4 ที่เริ่มชกมวยมาไม่นาน แตกเป็นแผล แล้วตอนนั้นกําลังเป็นวัยรุ่น ก็เฟลไปโรงเรียน กําลังรักสวยรักงาม แล้วไปโรงเรียนมีรอยเย็บปิดไป จริงๆ แค่ตาเขียวเราก็เฟลแล้ว อันนี้แตก เป็นแผล ไหนจะรักษารอย รักษาแผล หลายๆ อย่าง เราก็บอกพ่อว่า ไม่อยากต่อยแล้ว ไม่เอาแล้ว

พ่อก็จะบอกว่า ลองให้มันหายก่อน ค่อยมาเริ่มใหม่ มันยังไปได้อีก พ่อก็จะพูดให้กําลังใจตลอด พอหายแล้ว ตอนนั้นก็คิดว่า เดี๋ยวต้องไปเอาคืน”

ส่วนตอนนี้ แตกหลายครั้ง จนชินแล้ว เพราะล่าสุดโดนเย็บมาแล้ว 32 เข็ม ใต้ตาซ้าย3เข็ม ใต้ตาขวา15เข็ม หัวคิ้วซ้าย 6 เข็ม เปลือกตาขวา 8 เข็ม

 [เคยโดนฟันศอก ต้องเย็บ 32 เข็ม]
นอกจากความเฟลในวัยเด็ก อุปสรรคอีกอย่าง สำหรับนักมวยหญิงเลยก็คือ การมีประจำเดือน แล้วอารมณ์สวิง บางทีก็รู้สึกนอยด์แบบไม่รู้สาเหตุ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างควบคุมได้ยากอยู่เหมือนกัน

“มันก็จะจัดการยากนิดนึง บางทีเราซ้อมมาเหนื่อยๆ เป็นประจําเดือน อยากเลิก มันก็จะมีแว๊บไปแว๊บมา ควบคุมยากมาก เคยนะคะ ที่ชกอยู่เป็นประจําเดือน เราก็ต้องไปปรึกษากับแพทย์ มันก็จะมียาเลื่อนประจําเดือน ที่ผู้หญิงจะต้องรู้จักส่วนมาก

นักมวยหญิงต้องรู้จัก แล้วเรากินยาเลื่อนประจําเดือนไปแล้ว ผลของการกินยา ก็มีอีกเหมือนกัน ผลมันก็จะหงุดหงิด วีนง่าย บางทีบวมน้ำขึ้นมา ซึ่งนักมวยต้องลดน้ำหนัก ก็จะมีเฟลเรื่องนี้ด้วย”

พอโตขึ้นมาหน่อย จากที่เคยรู้สึกสนุกตลอด เริ่มมีความกดดัน ซึ่งเป็นไฟต์ช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมานี้เอง ที่เธอบอกว่าไฟต์นั้นรู้สึกกดดัน ไม่ค่อยยิ้ม เพราะทุกครั้งที่จะขึ้นชก เธอมักจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอด ไม่ว่าคู่ชกจะเป็นใคร หรือน่ากลัวแค่ไหนก็ตาม
สาเหตุที่กดดัน เพราะไปเก็บคําพูดคนรอบๆ มาคิดมากเกินไป จนไม่เป็นตัวของตัวเอง ถึงขั้นต้องไปรึกษาจิตแพทย์

 

“เขาบอกว่า เราทําได้อยู่แล้ว เราชนะอยู่แล้ว เราเก็บมา จนเราคิดเยอะเกิน เราไม่เป็นตัวเอง ตอนนั้นก็เลยรู้สึกกดดัน ว่าเราต้องทําให้ได้ จนเราคิดไม่ออก ว่าเราจะทํายังไง ถึงต้องทําให้ได้ ไฟต์นั้นแพ้ค่ะ

มันตัน มันตื้อไปหมด จนรู้สึกว่าเราจะมาเป็นแบบเดิมไม่ได้ คือช่วงนั้นก็คุยกับนักจิตวิทยาเลยนะคะ ชกเสร็จ แล้วก็คิดเยอะเกิน รู้สึกว่าเราทําได้ไม่ดีพอ ทั้งๆ ที่เราทําได้ดีกว่านี้”

จมอยู่กับความรู้สึกนั้นประมาณ 2-3 อาทิตย์ นอนไม่หลับ กินก็ไม่ได้ แม้จะพยายามไม่อ่านคอมเมนต์จากโซเชียลฯ ที่คนพูดถึงการพ่ายแพ้ ในการชกวันนั้น แต่เธอก็มีแต่คำว่าทำไมทำได้ไม่ดีพอ อยู่ในหัวตลอดเวลา

“ชกเสร็จไม่นอน เพราะนอนไม่หลับ กินก็ไม่ได้ ก็คือพยายามไม่อ่านคอมเมนต์เลยนะคะ เขาบอกว่าห้ามอ่านคอมเมนต์ ก็ไม่อ่าน แต่ว่าความคิดเรา มันห้ามไม่ได้ ทําไมเราไม่ทําแบบนี้ ทําไมเราต้องคิด ทําไมๆ อยู่ในหัวตลอดเวลา

จนอาจารย์นักจิตวิทยา ได้เข้ามาคุยกับเรา ว่ามันผ่านไปแล้ว อะไรที่มันดีอยู่ ก็ทําให้มันดีขึ้น คือเหมือนใบไม้มันร่วงไปแล้ว จะเอาไปติด ก็ไม่ได้อยู่ดีค่ะ


ครั้งนี้ เธอได้บทเรียนมาว่า อะไรที่ผ่านมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป เพราะเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ และทุกวันนี้ ก็มีทริกเล็กๆ ทำให้ตัวเองไม่คิดมาก หรือรู้สึกกดดันตัวเองก็คือ แค่หายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออก ทำใจให้สงบ และโฟกัสเป้าหมายที่จะทำ แค่นั้น ก็ทำให้ผ่านมาได้

“ตอนนั้นก็ได้บทเรียนมา ก็คืออะไรที่มันผ่านไปแล้ว เราก็กลับไปแก้ไม่ได้แล้ว เราก็ทําให้มันดีที่สุด ทุกวันนี้ ก็มีวิธีที่ทําให้ตัวเองไม่คิดมาก อาจารย์จะสอนเทคนิคเล็กๆ ที่สามารถทําได้เลย ก็คือหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกมา ทําใจให้สงบ แค่นี้เอง แล้วก็โฟกัสสิ่งที่เราจะทํา”

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ในการเป็นนักกีฬาเลยก็คือ การจัดการเรื่องอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งหลักความคิด ที่ตัวเองยึดถือมาตลอดเลยก็คือ การเป็นคนคิดบวก

“ถ้าเราจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มันก็เหมือนขุดบ่อให้ตัวเองไปลงตรงนั้น ถ้าเราโมโห หรือว่าเราเป็นหงุดหงิดอะไรมา วันนั้นมันก็จะเฟลทั้งวัน

หลักความคิดของหนูในแต่ละวัน คือการคิดบวก เรื่องกฎของแรงดึงดูด ก็สําคัญเหมือนกัน หนูคิดว่าถ้าวันนี้มันดี มันก็จะดีทั้งวัน สมมติวันนี้หนูอยากซ้อมให้มันดีๆ หนูก็พยายามเสพติดสิ่งที่ดีๆ สนุก ความสุข มันก็จะมีแต่เรื่องที่ดีเข้ามา ถ้าเราไปดูอะไรที่มันดราม่า ใจมันก็เหี่ยว เราต้องมีความสุข เสพแต่สิ่งที่มันมีความสุข แค่นั้นเอง”


ชีวิตเปลี่ยน ติดทีมชาติ ค่าตัวอัป

ฝึกฝนสกิลตัวเอง จนติดทีมชาติตอนอายุ17 ปี เป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแข่งกีฬามวยไทยสมัครเล่น ซีเกมส์ที่ประเทศพม่า

แม้ตอนนั้นจะตกรอบ และไม่ได้เหรียญมาฝากคนไทยเลย แต่ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ที่ทักษะดีขึ้นกว่าเดิม หรือจะเป็นทางด้านค่าตัว จาก 500 บาท ปัจจุบันอยู่ที่หลักหมื่น

“การเปลี่ยนแปลงในด้านร่างกาย มันไปในทางที่ดีขึ้น จากที่เราซ้อมแบบธรรมดา บ้านๆ แล้วเราไปเข้าแคมป์ ที่ซ้อมหนัก ซ้อมที่มันดีกว่าเดิม พอออกมาปุ๊บ เราก็รู้สึกว่า ร่างกายเราดีกว่าเดิม รู้สึกฟิตกว่าเดิม แล้วก็มีทักษะที่มากกว่าเดิมค่ะ

ส่วนเรื่องค่าตัว ตอนนั้นก็เพิ่มขึ้น ชกครั้งแรกได้ค่าตัว 500 บาท หลังกลับมาจากทีมชาติ มันก็เพิ่มขึ้นไม่ได้มากจาก 500 เป็น 1,500 บาท เขาก็ดูฟอร์มการชกเราด้วย

ถ้าเราชนะตัวเก่ง ชนะติดต่อกัน ต่อยสนุก ค่าตัวมันก็เพิ่มขึ้น ตอนนั้นเพิ่มขึ้นสูงสุดประมาณ2,500-3,500บาท ในภูธรนะคะ ปัจจุบัน ก็หลักหมื่นขึ้นไปค่ะ ก็มากกว่าเดิม”


เธอบอกอีกว่า เรื่องค่าตัว ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้น แต่คาดหวังถึงเงินรางวัล ที่ปัจจุบัน ชกในรายการของ ONE ลุมพินีซึ่งก็อยากจะได้โบนัสสักครั้งนึง หรือว่าหลายๆ ครั้งก็ได้

“การได้โบนัสของรายการ ก็มีชนะน็อก แล้วก็ชกสนุก เขาก็จะให้โบนัส ก็คืออยู่ที่ดุลพินิจของเจ้าของ ว่าจะได้ หรือไม่ได้ โบนัสก็คือ 350,000 บาท เยอะมาก

มีนักมวยอยู่หลายๆ คู่ ที่เขาชกสนุก ก็คือชกกันสนุกมาก ชกกันแบบว่าลืมหายใจ เขาก็จะให้ทั้งคู่เลยค่ะ 350,000 ไม่ว่าจะชนะ หรือแพ้ เขาก็จะให้ทั้งคู่เลย มันไม่อ่อม ดูแล้วมันจริงๆ สนุกจริงๆ ประทับใจจริงๆ เขาก็ให้ ที่ผ่านมา ที่ค่ายก็ได้ ส่วนเรายังไม่ได้ค่ะ”

นอกจากนี้ เธอยังมองอีกว่า สิ่งนึงที่จะทำให้ค่าตัวนักมวยอัปขึ้น ก็คือเรื่องของโซเชียลฯ ก็สำคัญ เพราะถ้านักมวยคนไหนที่ดังๆ ในโซเชียลฯ

“ถ้าถามว่าโซเชียลฯ กับเรื่องค่าตัวเกี่ยวกันไหม หนูคิดว่าเกี่ยว คิดว่าชื่อเสียงนักมวยเดี๋ยวนี้ มาจากโซเชียลฯ เป็นส่วนใหญ่

นักมวยในสมัยนี้ การใช้โซเชียลฯ เป็นสิ่งที่จําเป็นอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ ถ้าจะให้คนอื่นรู้จัก ในความเป็นตัวตนของเรา โซเชียลฯ คือต้องมาค่ะ เพราะสมัยนี้ ทุกคนก็เล่นโซเชียลฯ กันหมด เราก็มีทุกช่องทาง เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม TikTok ก็มี แต่ไม่ค่อยได้เล่นค่ะ

ต้องดึงตัวตนของเราออกมา กับกาลเทศะ ที่เราต้องเผยให้เขาเห็น อันนี้คือหลักที่เราจะต้องใช้โซเชียลฯ ของตัวเองค่ะ”



 ขอพื้นที่ให้ผู้หญิง แสดงความสามารถ


 

“เมื่อก่อนผู้หญิงไม่ได้มีพื้นที่ในการชกมวยเลย ก็คือมี แต่ว่ามีน้อยมากๆ อย่างในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเมื่อก่อน หรือตอนนี้ พื้นที่ผู้หญิง ก็ยังน้อยอยู่ดี สังเกตว่ารายการมวย ผู้ชายจะเยอะกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจะมีหนึ่งหรือ 2 คู่


นักกีฬาหญิง มันก็ไม่ได้น้อยกว่าผู้ชายนะคะ อยากจะให้ลองผู้หญิงเยอะๆ ดูบ้าง หรือไม่แมตช์นั้นก็มีแต่ผู้หญิงดูบ้าง หนูว่ามันน่าจะสนุกเหมือนกัน


เป็นไปได้ไหม ผู้หญิงจะมีค่าตัวได้เทียบเท่ากับผู้ชาย หนูก็คิดว่าเป็นไปได้ เนื่องจากในปัจจุบันก็มีคนที่เริ่มสนใจดูมวยหญิงมากขึ้น แต่ก็อย่างที่พูด คําว่าหญิง ในพื้นที่ในการแสดงความสามารถ มันก็มีน้อยกว่าผู้ชาย


เรื่องค่าตัว ว่าจะมีเทียบเท่ากับผู้ชายไหม หนูคิดว่ามี บางคนก็ได้เยอะกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากความสามารถของเขา แล้วก็ความเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วย ซึ่งตอนนี้คนไทยก็มีค่ะ ที่ได้ค่าตัวเยอะๆ มากกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ”


เธอมองว่า สิ่งที่จะทำให้นักมวยหญิง มีค่าตัวได้เทียบเท่ากับนักมวยชาย หลักๆ ก็คือความสามารถ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ทำให้คนจดจำ


“เรื่องความสามารถ ที่ต้องแสดงให้เห็น ว่าเรามีความสามารถมากพอ ที่จะได้ตรงนั้น และน่าจะเป็นชื่อเสียง ที่ต้องติดมาด้วย ความเป็นเอกลักษณ์ตัวเฉพาะตัว ว่าเรามีจุดขายตรงไหน อันนี้หนูว่ามันสําคัญมากๆ อย่างสมมติว่า คนนี้มีเอกลักษณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสเก่ง หรือมีจุดขายของตัวเอง”




 ไอดอลที่หนึ่งในดวงใจ


 

“ที่หนึ่งในดวงใจเลยคือ “พี่เพชรทนง เพชรเฟอร์กัส” หนูไม่ได้มองแค่ด้านการชกมวยอย่างเดียว คือพี่เขาเป็นนักมวยสมัยใหม่ เป็นนักมวยที่ทักษะสกิล พี่เขาเก่งหมดเลย แล้วก็การใช้ชีวิตของเขาก็ดีด้วย


เขาเป็นนักมวยที่เอาเงินมาลงทุนเป็น เหมือนนักธุรกิจที่ต่อยมวยได้มากกว่า ก็เลยชื่นชอบพี่เขามาก ไม่เหมือนนักมวยเมื่อก่อน ที่มีเงิน แล้วบางคนก็เอาไปเที่ยว เอาไปกิน ไม่เก็บ ไม่ออม พี่เขาเป็นต้นแบบในการที่ใช้เงินด้วย การใช้ชีวิตด้วย แล้วพี่เขาสอนก็เก่ง”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพ : Instagram @nongfahsai_pk, Facebook “น้องฟ้าใส ท็อป พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม”
ขอบคุณสถานที่ : ค่ายมวย พี.เค.แสนชัย มวยไทยยิม (ชุมชนวัดไผ่เงิน ซ.7 ข.บางคอแหลม)



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น