5 พฤษภาคม 2548 บริเวณบอร์ดประกาศผลเอนทรานซ์ภายในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เต็มไปด้วยรอยยิ้มจำนวนมากของวัยรุ่นทั้งชายหญิง ซึ่งต่างมาเฉลิมฉลอง "ชัยชนะ" ในการแข่งขันแย่งเข้าเรียนจากเด็กอีกนับแสนในมหาวิทยาลัยรัฐ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยการบูมรับน้องใหม่จากรุ่นพี่มหาวิทยาลัยต่างๆ
จะว่าไปหลายปีให้หลังมานี้บรรยากาศการประกาศผลเอนทรานซ์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แม้บ้านเราจะเข้าสู่ยุคดิจิตอลจนมีการประกาศผลทางอินเทอร์เน็ตซึ่งทำให้ผู้เข้าสอบไม่ต้องมานั่งจุดเทียนรอผลเหมือนรุ่นเก่า
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจไม่เปลี่ยน หรือเปลี่ยนน้อยมากคือเรื่องของระบบ "SOTUS" ในวิถีการรับน้องของสถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่ ที่น้องใหม่ทุกคนต้องเจอหลังจากนี้อย่างน้อยสองสามเดือนจนถึงมากที่สุดคือ 1 เทอม...
- 1 -
ผู้ที่เข้าสอบเอนทรานซ์ส่วนมากอาจรู้เรื่องการประเพณีการ "รับน้องใหม่" ในมหาวิทยาลัยต่างๆ มาบ้าง เนื่องด้วยบรรยากาศการฉลองความสำเร็จลักษณะนี้ถูกทำให้สังคมรับรู้ผ่านสื่อไม่ว่าทีวี วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่คนใกล้ตัวที่รอผลสอบในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปีว่าต้องมีพิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งในการรับน้อง
แต่ภาพที่เห็นในวันประกาศผลเป็นเพียงปฐมบท...ยังมีกระบวนการหลังจากนี้มากมาย และที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่าออกไปสู่ความรับรู้ของสังคมน้อยนัก สังคมเพียงรู้ว่าสิ่งนี้ "มีอยู่" และเป็นธรรมดาที่จะมีการ "รับน้องใหม่"
ปัจจุบันหากลองถามคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก สักกี่คนที่รู้ว่า "รับน้อง" ซึ่งลูกหลานอันเป็นที่รักต้องเจอช่วงเปิดเทอมมีรายละเอียดอย่างไร ยิ่งในสังคมปัจจุบันซึ่งผู้ปกครองส่วนใหญ่ทำงานแข่งกับเวลาเพื่อเงิน ความสัมพันธ์ในครอบครัวเหินห่างเด็กสักกี่คนจะมีโอกาสบ่น จะมาปรึกษา ว่าพวกเขาคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับกิจกรรมดังกล่าว กิจกรรมที่ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ต้อง "ร่วม" หากไม่อยากแปลกแยก หากอยากได้รุ่น หรือถึงที่สุดอยากอยู่ในสังคมที่เรียกว่า "มหาวิทยาลัย" สังคมแห่ง "ปัญญาชน" ได้
"เป็นเรื่องธรรมดา" "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป"..."อย่าคิดมาก สนุกๆ"... เป็นคำตอบหลากแบบที่เด็กปีหนึ่งหลายคนได้ยินเวลาพูดเรื่องนี้กับเพื่อน
- 2 -
ประเพณีการรับน้องเกิดขึ้นเมื่อไร?...จากการตรวจสอบ สมัยที่เริ่มมีการตั้งมหาวิทยาลัยอย่างเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ไม่เคยปรากฏหลักฐานว่ามีประเพณีดังกล่าว ยิ่งในส่วนของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ฯ ซึ่งเปิดเพื่อเป็น "บ่อน้ำบำบัดความกระหาย" ของประชาชนยิ่งไม่มีปรากฏ (บางคณะนำมาใช้ราวปี 2510)
ท่ามกลางความขาดแคลนของข้อมูลและแม้แต่รุ่นพี่ที่จัดรับน้องก็ไม่รู้ความเป็นมา เกษร สิทธิหนิ้ว ได้ให้ข้อมูลถึงกำเนิด "โซตัส" เอาไว้ใน "สารคดี" (มิถุนายน 47) ไว้ว่า "โซตัสเกิดขึ้นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะเผยแพร่เข้าสู่ประเทศไทยโดยผ่านทางประเทศฟิลิปปินส์ เป็นแนวคิดที่ใช้ในการปกครองและปลูกฝังทหารใหม่ ซึ่งมีหลักอยู่ 5 ประการคือ S-Seniority หมายถึงความสัมพันธ์แบบนับพี่ถือน้อง การเคารพผู้อาวุโสกว่า O-Order คือการปฏิบัติตามคำสั่ง กฎ ระเบียบ วินัยT-Tradition คือการสืบทอดธรรมเนียม ประเพณี ที่ยึดถือปฏิบัติกันมา U-Unity คือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในหมู่พวก S-Spirit ความมีน้ำใจ เสียสละเพื่อส่วนรวม"
โดยให้ข้อมูลว่า โรงเรียนป่าไม้ภาคเหนือรับระบบนี้มาใช้เป็นแห่งแรก ดังนั้นเมื่อมีการตั้งเกษตรศาสตร์ ระบบจึงถูกใช้ในการรับน้องด้วย โดยมุ่งให้เป็นตัวละลายพฤติกรรม ลดทอนความต่างของฐานะให้นิสิตใหม่รู้สึกเท่าเทียม มีความรักสามัคคี ต่อมาจึงมีการใช้ในจุฬาฯ และมหาวิทยาลัยอื่นอย่างแพร่หลาย สอดคล้องกับ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ซึ่งพูดถึงที่มาในหนังสือ "หนุ่มหน่ายคัมภีร์" ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งพอจะทำให้ภาพชัดขึ้นมาอีก...
"ระบบอาวุโส หรือซีเนียริตี้ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ แรกเริ่มเดิมทีก็คงจะเป็นสินค้าขาเข้าประเภทฟุ่มเฟือยมาจากต่างประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศตะวันตก เมื่อเราเริ่มตั้งมหาวิทยาลัย วิทยาลัยอะไรก็ตามขึ้น ก็ได้มีการเน้นสร้างวิชาการและครูบาอาจารย์ด้วยการส่งไปเรียนเมืองนอก นักเรียนนอกเหล่านั้นมิได้กลับมาด้วยวิชาความรู้แต่อย่างเดียว แต่ยังได้พกระเบียบแบบแผน และประเพณีอะไรต่อมิอะไรเอามาเผยแพร่ต่อในเมืองไทยด้วย ดังนั้น วิธีการรับน้องใหม่ การแบ่งสี หรือการล้อเล่นที่พิสดาร จึงเริ่มแผ่ขยายกระจายทั่วไปในสถาบันการศึกษาของเมืองไทย"
ก่อนจะให้ภาพว่า "ตัวอย่างของการที่ประเพณีประเภทนี้แผ่ขยายเข้ามาในเมืองไทยจะเห็นได้ชัดในกรณีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คือประเพณีการคลุกโคลนปีนเสา...เห็นได้ชัดในอดีตอันแสนไกลของมหาวิทยาลัยคอร์แนล...ภาพเก่าๆ เกี่ยวกับอดีตของคอร์แนลมักจะมีรูปการปีนเสาทรมานแบบนี้ แต่นั่นก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ประเพณีการปีนเสานี้ก็ได้แผ่ขยายไปยังฟิลิปปินส์ ในสมัยนั้นฟิลิปปินส์เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐอเมริกาอยู่ และคอร์แนลก็ได้มีส่วนร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ (University of The Philippines) ...คอร์แนลมีคณะเกษตรที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้นจึงได้เข้ามามีส่วนช่วยสร้างวิทยาลัยเกษตรที่ลอสบันยอส (ส่วนหนึ่งของ University of The Philippines) ประเพณีการปีนเสาก็ถูกถ่ายเทจากมหาวิทยาลัยเมืองแม่มายังมหาวิทยาลัยอาณานิคม"
"ในที่สุด...ก็แผ่เข้ามาถึงเมืองไทย...ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ของเกษตรฯ ก็ถูกส่งตัวไปฝึกฝนหาวิชาการความรู้ที่ลอสบันยอส หรือบางครั้งก็ถูกส่งไปถึงคอร์แนล แน่นอนที่สุด ประเพณีที่ว่านี้ก็คงติดตัวบรรดานักเรียนนอกรุ่นนั้นเข้ามา และนี่ก็คือทางเดินของประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ จากเมืองแม่มาสู่อาณานิคม และมาถึงบ้านเราในที่สุด...ประเพณีปีนเสานี้อาจจะชี้ให้เห็นชัดของทางเดินของระบบอาวุโสและซีเนียริตี้ แต่น่าเชื่อว่าในกรณีของมหาวิทยาลัยอื่นเช่น จุฬาฯ หรือแม้แต่สถาบันระดับรองลงมาก็คงจะได้อะไรต่อมิอะไรมาจากอังกฤษ ยุโรป หรืออเมริกา และผลที่สุดก็ทำให้สถาบันอื่นๆ รับถ่ายทอดตามแบบไป..."
จากการสืบค้น เราพบว่าระบบดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด ในยุค 14 ตุลาคม 2516 มีการลดทอนในบางสถาบันให้เหลือแค่ "รับเพื่อนใหม่" เท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่สามารถถอนรากถอนโคนความคิดเรื่องนี้ได้ และมีการถกกันตลอดมาว่าควรจะทำอย่างไรกับระบบดังกล่าว?
ขณะที่สังคมรวมทั้ง "ปัญญาชน" อาจพิจารณาหรือ (ไม่) พิจารณาเรื่องนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าบนหน้าหนังสือพิมพ์ได้รายงานถึงหลายชีวิตที่ต้องสังเวยเป็นระยะด้วยสาเหตุต่างๆ อันสืบเนื่องมาจากระบบนี้ บางความเห็นก็อาจบอกว่ามาจากตัวน้องใหม่เองหรือพี่ขาดวุฒิภาวะ ถึงที่สุดบางคนชี้ว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับคนจำนวนน้อย
และชีวิตที่เป็นคนส่วนน้อย อาจถูกมองเป็นเรื่องของคนไม่กี่คน ที่รับหรือทนกับระบบไม่ได้เหมือนคนส่วนใหญ่
- 3 -
เหรียญมีสองด้าน มีแม้ด้านที่สามคือไม่พลิก เราลองมาดูเรื่องเหล่านี้ผ่านมุมมองของผู้ที่เกี่ยวข้อง
"ภราดร เสมอภาค ...(กล่าวถึงคำขวัญประจำคณะ) ความหมายมันใกล้ๆ กันมั้ง 5 คำเหมือนกับโซตัส" ต้อม (นามสมมติ) ผู้ผ่านระบบนี้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้เราฟัง "หลังเอ็นท์ ติดรู้อยู่แล้วว่าต้องโดน ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร ทั่วไปเรียกรับน้อง แต่ที่ที่เคยเรียนอยู่เรียกซ่อมน้อง เป็นมหกรรมการแกล้งคน อำกันสารพัด"
สำหรับเขามหกรรมรับน้องเริ่มขึ้นหลังดูผลเอ็นฯ ได้หนึ่งอาทิตย์ "จริงๆ เคยโดนมาแล้ว (เขาเคยเรียนมหาวิทยาลัยอื่นมาก่อน) แนวโหดขำๆ แต่คณะผมนี้ไม่เหมือนทั่วไป ปี 1-3 ไม่สามารถทำอะไร ปี 4 ถึงได้ซ่อมน้อง เหตุผลคือวุฒิภาวะ ถ้าปีสองทำมันคิดอยู่อย่างเดียว กูจะเอาคืน ล้างแค้น ปีสองจะดูแลน้อง ปีสามก็ช่วยพี่ปีสี่เรื่องซ่อม ปี 4 จะจัดการทุกอย่าง...เพราะช่วงเรียนปี 2-3 มันจะเริ่มสงสัย หากเบากว่าที่เคย โตมาจะเข้าใจ มันเป็นระบบที่มีผ่อนมีตึง มันไม่มีสูตรตายตัว ทุกอย่างอยู่ที่ตัวรุ่นน้องกับพี่ "
ต้อมยังพูดถึงการเตรียมตัวของนักศึกษาปีสูงในการนี้ "ก่อนรับน้องจะมีประชุม อาจารย์จะร่วมด้วย กำหนดขอบเขต แบ่งว่าใครอยู่ฝ่ายไหน มีว้ากก็ต้องมีปลอบ...ที่ผมได้จากการรับน้องคือคนเราเวลาแกล้งใครมันทุ่มเทมหาศาล ไม่ได้ใช้แต่อารมณ์ มันมีสาระซ่อน ไม่งั้นไม่อยู่ได้มาจนถึงป่านนี้หรอก ถึงบอกนี่คือมหกรรม ไม่ใช่ปีสองมารับปีหนึ่ง ที่เหลือฮากันไป มีการวางแผนล่วงหน้า แบบให้ประทับใจรุ่นน้อง ให้จำกันไปทั้งชีวิตเลย ประมาณนี้"
และเป้าหมายคือความสามัคคี... "มีหลายเคส น้องจะมีสองกลุ่ม มีพวกบอกทนไม่ไหวแล้ว กับพวกหยวนๆ ว่าเดี๋ยวก็หมดช่วง ส่วนมากพวกทนไม่ไหวจะก่อหวอดเกิดการแบ่งพวก สมัยผมมีรุ่นน้องปีหนึ่งโดดการซ่อมทั้งรุ่น หายเรียบ เราปิดซ่อมวันนั้น เพราะถือว่าภราดรสูงมาก ไปก็ไปกันหมด ไม่หายคนสองคน นั่นแหละที่ต้องการ สามัคคีกัน ไม่ใช่มาฟ้องว่าคนโน้นหนี แบบนั้นน่าเกลียด คือให้รวมเป็นหนึ่งเดียว"
ต่อคำถามที่ว่ามันทำให้รักกันจริงหรือเขาบอกเราว่า "ช่วงนั้นรักกันชัวร์ ชื่อพ่อแม่วันเกิดเพื่อนจำได้หมด คุยได้หมด สุดท้ายต้องแบ่งตามสาย เหมือนแก๊งหนึ่งชอบอาร์เอส อีกแก๊งชอบแกรมมี่ ท้ายที่สุดคนเราโตขึ้น มันไปตามทางตัวเอง เรียนแบบไหนก็ไปทางนั้น ตามสาขาที่เรียน แต่โดยพื้นเพมากินเหล้าจะคุยกันได้หมด มันอยู่ที่อุปนิสัยว่าจะคุยกันอย่างไร สุดท้ายเราก็เลือกกลุ่มคล้ายกัน"
การรับน้องสำหรับเขานั้น "เป็นธรรมชาติ เรียนมหาวิทยาลัยต้องโดน ไม่โดนมันเหมือนเรียนได้ไม่เต็มที่ ขาดอะไรในชีวิต เหมือนการผ่านกระบวนการ...เป็นทหารต้องหัดยิงปืนก่อน ต้องมีขั้นตอน เอาง่ายๆ ต้องซื้อตั๋วไม่ใช่ลักลอบเข้าไป มันส่งผลต่อความรู้สึกนะ ได้รับหรือไม่ได้รับ..แต่ก็มีน้องแอนตี้ บางคนรับไม่ได้ ไม่ชอบโดนบังคับ รับน้องนี่บังคับกันไม่ได้ ...มันต้องมี คือเคยมีรุ่นน้อง ขอไม่เข้าเพราะมีปัญหาที่บ้าน สุดท้ายไม่รู้จะเข้ากับเพื่อนอย่างไร เขาโดนมาหมด ตัวเองไม่โดน เพื่อนไม่ว่าอะไรหรอก แต่ในใจของมันคนเดียว สุดท้ายมันจะหายไปเลย
ก่อนสรุประบบนี้ว่า "เหมือนเกมที่สร้างโดยรุ่นพี่ แล้วแต่พี่มีสติปัญญาแค่ไหน ดีก็ดีไป แต่ถ้าเอาคืนแรงจับน้องกรอกเหล้า แก้ผ้า โดยไม่มีเหตุผลก็ไม่รู้มีเพื่ออะไร นอกจากสร้างรอยแผลให้เอาคืนเฟรชชี่รุ่นต่อไป...ส่วนที่มีข่าวตายคิดว่าเพราะคึกคะนอง พวกไปทะเลแล้วตายนั่นคือมีตติ้ง มันหมดซ่อมแล้ว ตายคือเมา กินกันแล้วเฮฮา คนมันเยอะ คนแย่มีทุกที่ แล้วมาเป็นพี่ แบบนั้นก็ถือว่าซวยที่เข้าไปเรียน ไปรับน้อง"
เขายังให้ความเห็นในเรื่องของผลของระบบ SOTUS ต่อชีวิตการทำงาน"ระบบมันไม่ยาวนานขนาดนั้น อาจจะมีเส้นสายบ้าง แต่ปัจจุบันเรื่องสถาบันนี่น้อยแล้ว เป็นเรื่องของมันนี่มากกว่า แต่เมื่อถูกถามว่าถ้าเลิกระบบนี้การเรียนมหาวิทยาลัยจะดำเนินไปได้หรือไม่เขาบอกเราว่า "ถ้าเลิกนี่อยู่ไม่ได้เลย เจอหน้ามันจะคุ้นๆ แล้วผ่านไป มันไม่รู้จักกัน มีจ๊งมีจ็อบก็เรียกกัน"
....ลองพิจารณาคำตอบของต้อม เราอาจพบอะไรบางอย่าง
ชง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี ซึ่งเพิ่งจะเอ็นท์ ติดมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ได้รับผลซึ่งไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้เท่าไร "ไม่กังวล คิดว่าคณะที่สอบเข้าได้ไม่น่าโหด คาดว่าการรับน้องจะทำให้รู้จักกับคนอื่นและมีความกลมเกลียวกัน ยุคนี้คงสนุกสนานเฮฮามากกว่าโหดครับ ถ้ารู้จักทำกันอยู่ในขอบเขต ส่วนที่ผ่านมามีปัญหาบ้างคิดว่าคงไม่เกิดขึ้นกับตนเอง ยังไงก็คงไม่ถึงตาย อย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการกระทำที่มากเกินขอบเขตของรุ่นพี่"
ป๋อง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี เขาสอบติดมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งเช่นกันแสดงความเห็นว่า "รับให้ดี ให้มีเหตุผล รุ่นพี่ต้องมีวุฒิภาวะ ส่วนตัวไม่อยากให้มี ไม่เชื่อว่าความรักในหมู่เพื่อนที่เกิดจากถูกบังคับจะยั่งยืน ความเลวร้ายของระบบนี้ผมฟังจากคนที่เคยผ่านมาคือ ถ้าใครคิดแตกต่างก็กลายเป็นคนนอก บอกไม่บังคับแต่จริงๆ คือถ้าไม่เข้าก็โดนกฎหมู่บังคับ เป็นกฎที่ไม่มีเหตุผล อยู่ในยุคประชาธิปไตยแล้ว ผมอายุ 18 ปีมีสิทธิเลือกตั้ง คิดเองได้ว่าควรคบใคร ดำเนินชีวิตอย่างไร ทำไมต้องถูกบังคับโดยคนที่อายุมากกว่าตนเองไม่กี่ปี" ก่อนทิ้งท้าย"ผมไม่คัดค้าน อยากรับรับไป แต่ไม่ควรทำให้คนที่คิดแตกต่างต้องมายอมรับด้วย แบบนั้นผมเรียกเผด็จการ"
- 4 -
"SOTUS = Stupid Outdated Tyranny Uncivilized Stop it!!!!"...ข้อความข้างต้นนี้อาจทำความขุ่นเคืองใจให้กับฝ่ายศรัทธาระบบโซตัส แต่เป็นความเห็นจากผู้ที่ศึกษาเรื่องอำนาจ (รัฐศาสตร์) อย่างอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์
"หลัง 14 ตุลาถึงปัจจุบันมันถอยหลัง มีการนำระบบโซตัสเข้ามา...ที่จุฬาฯ และหลายสถาบันก็หนัก...เรื่องที่ว่าเป็นเหมือนกับการซื้อตั๋วชมคอนเสิร์ตมันไม่ใช่ ผมคิดว่าเป็นระบบสร้างเผด็จการภายในสังคมโดยทั่วไป เป็นระบบที่กล่อมเกลานักศึกษาไม่ให้คิดเป็น ใช้ความรุนแรงทางร่างกายและจิตใจเพื่อให้คนเชื่อฟัง ผลิตซ้ำระบบความรุนแรงในสังคม สะท้อนถึงการกลับเข้ามาของแนวปฏิกิริยาและอนุรักษ์นิยมในสังคมไทยหลัง 6 ตุลาคม 2519"
อาจารย์ใจจึงคิดว่า นี่ไม่ใช่กระบวนการเปลี่ยนผ่าน "เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ ประเทศที่ขบวนการนักศึกษาคิดเองเป็น มีความเท่าเทียมในสังคมเขาไม่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้ ยุโรปก็เกือบไม่มี นักศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่แต่งเครื่องแบบ มาดูเราแล้วเขาก็บอกว่าเหมือนกับเด็ก นี่เขายังไม่เห็นกระบวนการโซตัส ถ้าเขาเห็นเขาจะบอกมันเหมือนทาส" ก่อนให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า
"มีการจงใจผลิตซ้ำ ไม่ใช่แค่นักศึกษา อาจารย์ก็มีส่วน ที่จุฬาฯ อาจารย์ที่คุมหอพักบังคับนักศึกษาในหอที่มาจากต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ยากจนด้วยซ้ำ ต้องร่วมกิจกรรมแบบนี้ทั้งที่คณะและหอพัก ถ้าไม่เข้าร่วมจะให้คะแนนความประพฤติต่ำ โอกาสจะได้ห้องพักในปีต่อไปก็น้อยลง จริงๆ คนทำเรื่องนี้ควรถูกลงโทษ ฝ่ายบริหารไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เป็นระบบมาเฟีย...นี่คือการบีบบังคับโดยไม่ชอบธรรมให้นักศึกษาทำกิจกรรมนอกหลักสูตร กิจกรรมที่ทำลายความคิดสร้างสรรค์ จริงๆ มหาวิทยาลัยควรสอนให้เด็กคิดเป็น แต่คนกลุ่มนี้พยายามสืบทอดความคิดว่าไม่ต้องคิด โดนด่าแล้วต้องทำตาม เวลาถูกท้าทายมักมีข้ออ้างว่าประเพณี สามัคคี นี่โกหก"
"นักศึกษาหลายคนไม่พอใจเรื่องนี้...เขากลัวอาจารย์หอ กลัวรุ่นพี่ มันมีการสร้างความกลัวภายในประชาคมว่าใครไม่ร่วมเป็นคนนอก เป็นการกดดันจิตใจ ไม่ถูกต้อง...ทำเพื่อที่จะต้องรู้ว่าใครเป็นรุ่นพี่ ต้องไหว้แบบไร้สาระ ที่รัฐศาสตร์จุฬาฯ รุ่นน้องจะไหว้รุ่นพี่ ต่างกันแค่ปีเดียว แสดงว่าการไหว้ไม่ได้อยู่ที่ใครน่าเคารพ เป็นการบังคับ เป็นเรื่องแย่มากๆ เราต้องมองว่าทำไมคุณภาพการศึกษาต่ำ...มันมาจากความคิดแบบนี้"
"ทำลายศักดิ์ศรีอย่างไร มีงานน่าสนใจชิ้นหนึ่งเขียนโดยนักศึกษา มช. ตอนนั้นเขาอยู่ปีสอง เปรียบสิ่งที่ทำในห้องเชียร์กับสิ่งที่ทหารอเมริกันทำในอิรัก เห็นได้เลยว่านำไปสู่สิ่งสุดขั้วคือการทรมานนักโทษ คนที่ยังไม่ขึ้นศาล มันอาจช่วยให้เกิดกรือเซะ ตากใบ หกตุลาอีก มันทำให้คนมองว่าตัวเองไม่มีค่า...ถ้าการทารุณสร้างความสามัคคี ผมเคยแนะว่าถ้าต้องการก็ทำงานแบบนักโทษ ขุดโคลนออกมาจากท่อ กวาดถนน ทำสาธารณประโยชน์ที่มันยากลำบาก ถ้าคุณต้องการความสามัคคีจริงๆ แต่เขาไม่ทำเพราะจริงๆ มันเกี่ยวกับการสร้างความเคารพรุ่นพี่ นี่คือประเด็น"
ทั้งนี้...ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะสะท้อนสภาพสังคมไทยในปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย
แต่สิ่งที่เราแน่ใจคือ ไม่ว่าสถาบันใดจะใช้ระบบนี้หรือไม่ ก็ไม่ควรมีใครเสียชีวิตหรือได้รับผลกระทบทางจิตใจจากกิจกรรม "รับน้อง" ซึ่งควรจะเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับอนาคตของชาติ
* * *
รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (2540) มาตรา 28
"บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้ตราบเท่าที่ไม่ได้ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน"
* * *
สืบเนื่องจากสารคดี “โซตัส” ระบบที่ต้องการคำอธิบาย ใน “ผู้จัดการปริทรรศน์” มีการระบุส่วนหนึ่งของคำกล่าวจากอาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่วิเคราะห์และกล่าวถึงข้อเสียของระบบนี้ ทางเราเห็นว่าการวิเคราะห์ของอาจารย์ในส่วนดังกล่าวนั้นอาจจะยังไม่กระจ่างและสามารถตอบคำถามมากพอกับคนที่ยังสงสัยในการหาทางออกของเรื่อง SOTUS ในแง่ของกลุ่มผู้ที่คัดค้าน อีกทั้งเนื้อความที่นำเสนอไปก่อนนั้นเป็นแต่เพียงการตัดตอนไปบางส่วน จึงขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มไว้ ณ ที่นี่
อาจารย์คิดว่าสถานการณ์เรื่องการใช้ระบบโซตัสปัจจุบันเป็นอย่างไร?
หลังยุค 14 ตุลาคม ซึ่งนักศึกษาหัวก้าวหน้า แต่ตอนหลังมันเปลี่ยน มีการนำระบบโซตัสเข้ามา มีการนำระบบแกล้งน้อง รับน้องใหม่ ที่จุฬาฯ นี่หนัก หลายๆ สถาบันก็หนัก
หลายคนบอกว่าระบบนี้จำเป็น?
มันเป็นระบบสร้างเผด็จการ เป็นกบฏแบบเผด็จการในสังคม เป็นการกล่อมเกลานักศึกษาไม่ให้คิดเองเป็น เป็นระบบที่ใช้ความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจเพื่อที่จะกล่อมเกลาให้คนเชื่อฟัง เป็นการผลิตซ้ำระบบความรุนแรงในสังคม นี่เป็นสิ่งสะท้อนการกลับมาของพวกแนวปฏิกิริยาอนุรักษ์นิยมหลัง 6 ตุลาคม 2519
มองได้หรือไม่ว่านี่คือระบบการเปลี่ยนผ่านเพื่อเข้าสู่สังคมมหาวิทยาลัย?
นี่เป็นการเมืองล้วนๆ ประเทศที่ขบวนการนักศึกษาของเขาสามารถคิดได้เองเขาไม่ได้ทำงี่เง่าแบบนี้ อังกฤษก็มี ยุโรปก็ไม่มี นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่แต่งเครื่องแบบ เวลาเขามาดูเมืองไทยเขาบอกว่าเหมือนเด็ก เขาไม่เห็นกระบวนการ SOTUS ถ้าเขาเห็นเขาจะมองว่าเหมือนกับระบบทาส
เราพอจะมีข้อมูลแค่ว่าโซตัสมาจากอเมริกา และฟิลิปปินส์?
มันมาจากสหรัฐ เป็นการกล่อมเกลานักศึกษาในสหรัฐ ซึ่งมาจากประเพณีในสถาบันที่ล้าหลัง เน้นการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา เป็นเรื่องของทหาร บางส่วนก็มาจากสถาบันการฝึกทหารในยุโรปและอังกฤษ
ฟิลิปปินส์ได้รับอิทธิพลของสหรัฐ และไทยก็เอามาหลายส่วน ซึ่งที่สำคัญก็คงจะมีสองประเทศนี้ แต่นั่นเป็นประเด็นรอง หลักๆ คือมีการจงใจผลิตซ้ำเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ มันไม่ใช่แค่การกระทำของนักศึกษาเท่านั้น อาจารย์เองก็มีส่วนในการบังคับนักศึกษา ที่จุฬาฯ อาจารย์ผู้ควบคุมหอพักบังคับนักศึกษาซึ่งมาจากต่างจังหวัดและส่วนใหญ่มีฐานะยากจนด้วยซ้ำต้องเข้าร่วมกับกิจกรรมแบบนี้ โดยมีทั้งที่คณะและหอพัก ถ้าไม่เข้าร่วมอาจารย์เหล่านั้นก็จะตัดคะแนนความประพฤติให้ต่ำ ความเป็นไปได้ที่จะได้ห้องพักในปีต่อไปก็ลดลง ซึ่งถ้าเป็นอาจารย์แล้วทำแบบนี้ก็สมควรที่จะถูกลงโทษ
เป็นขนาดนั้น?
จุฬาฯ เป็นแบบนี้ และฝ่ายบริหารก็ไม่คิดจะทำอะไรทั้งสิ้น มันเป็นระบบมาเฟียภายในมหาวิทยาลัย แบบนี้คือการบีบบังคับให้นักศึกษาทำกิจกรรมซึ่งไม่อยู่ในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย เป็นกิจกรรมของเผด็จการ เป็นกิจกรรมที่ทำลายความคิดสร้างสรรค์ ทั้งที่ความจริงมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นแหล่งเพาะความคิดแบบนี้ของนักศึกษาให้คิดเป็น แต่อาจารย์กลุ่มนี้และนักศึกษารุ่นพี่พยายามที่จะสืบทอดความคิดว่าเราไม่ต้องคิดเอง โดนด่าก็ต้องทำตาม และเวลาถูกท้าทายจะมีข้ออ้างเหลวไหลว่า “ประเพณี” บ้าง “สามัคคี” บ้าง ซึ่งตรงนี้จริงๆ เป็นคำโกหก
มีนักศึกษาหลายคนไม่พอใจ มันทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มันขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดกับความเป็นธรรมขั้นพื้นฐาน หลายคนกลัวอาจารย์ที่หอพัก กลัวรุ่นพี่ มีการสร้างความกลัวในประชาคมนักศึกษาว่าหากใครไม่เข้าก็จะเป็นคนภายนอก อันนี้เป็นการกดดันทางจิตใจ ไม่ถูกต้อง
ถามว่าทำเพื่ออะไร ทำเพื่อที่จะต้องรู้ว่าใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง คือต้องไหว้กันแบบไร้สาระ ที่คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ รุ่นน้องจะไหว้รุ่นพี่ มันต่างกันแค่หนึ่งปีก็ไหว้กันแล้ว แสดงว่าการไหว้ไม่ได้อยู่ที่การพิจารณาว่าใครน่าเคารพหรือไม่เคารพ กลายเป็นการบังคับ เป็นเรื่องที่แย่มากๆ เราต้องถามสาเหตุที่คุณภาพการศึกษาต่ำ แล้วจุฬาฯเองก็ไม่ได้มีมาตรฐานดีเท่าใดในระดับโลก เพราะส่วนหนึ่งมาจากความคิดแบบนี้
เราต้องถามกับผู้บริหารจุฬาฯ ผู้บริหารสถาบันต่างๆ ก่อน อย่างที่ราชภัฏบางแห่งอาจารย์จะบังคับให้เด็กเข้าร่วมห้องเชียร์ ถ้าไม่เข้าก็ไม่จบ สถาบันการศึกษาของไทยหลายแห่งเอาตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร
นี่คือซากเดนของเผด็จการในสังคมภายนอกและมันก็ยังเพาะเชื้ออยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย
มีคนบอกว่าระบบนี้ส่งผลทำให้ความคิดเป็นเผด็จการในอนาคต?
มันส่งผลตลอดครับระบบนี้ไม่ใช่แค่อนาคต
ตอนนี้นักศึกษาจะสู้เรื่องนี้ในลักษณะปัจเจกได้ยาก ตอนนี้เรามีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาคือ “พรรคแนวร่วมประชาชน” แกนนำสำคัญก็เป็นนักศึกษาด้วย กิจกรรมสำคัญอันหนึ่งของปีการศึกษานึ้คือการรณรงค์คัดค้านระบบ Sotus ในสถาบันหลายแห่ง จะพยายามชวนนักศึกษาที่ไม่พอใจมารวมตัวกันแบบข้ามสถาบันในลักษณะที่เกิดขึ้นคล้ายช่วง 14 ตุลาคม 2516 ตอนที่นักศึกษาตื่นตัวแล้วมีความเข้าใจในปัญหาของสังคม
ที่อาจารย์รณรงค์เรื่องนี้มานาน มีผลสะท้อนกลับสู่ตนเองอย่างไร?
มีคนแสดงความไม่พอใจและใช้คำหยาบคาย เราต้องถามว่าเขาปกป้องอะไรอยู่ ตอนรับน้องหากเข้าไปตามที่ต่างๆ เราจะเห็นนายพลน้ำนมทั้งหลายที่ไม่ทราบว่าตัวเองมีปมด้อยหรืออะไรกันแน่ แต่รู้สึกว่าจะได้อะไรจากการเป็นผุ้บังคับบัญชาคนอื่นในเรื่องไร้สาระ ไม่มีผลงานอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรสร้างสรรค์ แค่การตะโกนด่าคน ทำลายศักดิ์ศรีของคน พวกที่ไม่พอใจการวิจารณ์แสดงว่ามันฝังลึกและผูกพันผลประโยชน์ของคนมีปมด้อยเหล่านี้
มีบทความที่น่าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เขียนขึ้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาเปรียบเทียบสิ่งที่ทำในห้องเชียร์กับสิ่งที่ทหารอเมริกันทำในอิรัก การทรมาน การจับคนมาแก้ผ้าถ่ายรูป มันชัดเลยว่าเกี่ยวข้องกับการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มันเป็นสิ่งซึ่งนำไปสู่สุดขั้วคือกรณีการทรมานนักโทษ การลงโทษคนในชั้นศาล มันอาจช่วยให้เกิดกรือเซะ ตากใบ หกตุลาคมอีก
ระบบนี้อย่างน้อยทำให้ตัวเองรู้สึกไม่มีค่า ทำลายความเป็นพลเมือง มองเราแค่เพียงไพร่ มองแบบมีชนชั้น เราต้องไหว้รุ่นพี่ รุ่นพี่ก็ไหว้รุ่นก่อนต่อๆ กันไป ซึ่งมันกับประชาธิปไตยทั้งปวง
อาจารย์พอจะวิเคราะห์ได้หรือไม่ทำไมระบบนี้ถึงฝังลงในความคิดจากเด็กปีหนึ่งขึ้นปีสอง เวลาปีเดียวเขายึดมั่นระบบนี้เสียแล้ว?
มีจำนวนน้อยเท่านั้น ซึ่งกลายเป็นพวกที่ว้าก ที่เหลืออเขาไม่สนใจ คือเขาไม่มีส่วนร่วม คนที่ไปทำส่วนนี้เป็นส่วนน้อย และเป็นคนมีปมด้อย ซึ่งในวันต่อไปจะทุบตีลูกเมีย ไม่มีศักดิ์ศรีในโลกภายนอกก็ต้องหาศักดิ์ศรีจอมปลอมด้วยการทำร้ายคนอื่น แล้วอ้างว่าสร้างความสามัคคี
เวลาผมวิจารณ์การที่เขาจับนักศึกษาเข้าไปรวมกันในห้อง ปิดแอร์ พัดลม จนคนเป็นลมซึ่งผิดมาตรฐานด้านความปลอดภัย ซึ่งมหาวิทยาลัยก็ไม่ทำอะไรอีก บ่อยครั้งที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาเป็นคนส่งเสริมด้วยซ้ำ ซึ่งควรจะมีการลงโทษอาจารย์เหล่านี้
วลีอมตะคือระบบนี้สร้าง “ความสามัคคี” ?
หากใครบอกว่าการทารุณแบบนี้สร้างความสามัคคี ผมเคยแนะนำว่าคุณจะสร้างความสามัคคีภายในใต้ความยากลำบากก็ลองไปทำงานแบบที่เราเห็นนักโทษถูกบังคับให้ทำคือลงไปขุดโคลนออกจากท่อระบายน้ำ กวาดถนน ทำอะไรที่เป็นสาธารณะประโยชน์ซึ่งมันยากลำบาก ลองทำถ้าอยากสร้างความสามัคคีพร้อมกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่เขาไม่ทำเพราะจริงๆ ไม่เกี่ยวกับการสร้างความสามัคคีจริงๆ มันสร้างวินัยและการเคารพรุ่นพี่มากกว่า
บางคณะอ้างว่าเป็นวิชาชีพพิเศษ อย่างต้องเรียนไปทำงานในป่า?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงนี่คงเป็นสาเหตำให้ป่าไม้ไทยสูญหายไปหมดแล้ว เพราะมีการคอรัปชั่น การขายไม้ ทฤษฎีที่เขาเสนอมันงี่เง่า เขาเสนอว่ายามยากลำบากคนต้องไม่คิดเอง ต้องฟังคำสั่งอย่างเดียวคือเหตุผลทั้งหมด ถ้าเช่นนั้นต้องเอาวัวควายมาทำตรงนี้ ในโลกแห่งความเป็นจริงมันตรงกันข้าม ยามวิกฤตควรจะร่วมกันคิด ช่วยกันหาทางออก ไม่ใช่ใครคนหนึ่งสั่งทุกคนทำตาม เป็นข้ออ้างที่เหลวไหลมากที่สุด ในระบบที่มีการทำงานเป็นทีมและอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากต้องมีการร่วมแสดงความเห็น แสดงแบบมีวินัยในตนเอง มีวุฒิภาวะ ไม่มีการถือว่าใครสูงกว่าใคร นี่คือการแก้ แต่ของเขาจะให้ไม่คิดอะไรเลย
ถ้ามาจากทหาร ช่วง พ.ค. 35 ทหารธรรมดาเขารู้ คนที่ถูกสั่งให้ยิงเป็นญาติพี่น้องเขา ลูกหลานเขา การที่ให้ทหารยิงประชาชนในเหตุการณ์ต่างๆคุณต้องเอาสมองออกจากหัวคนถึงสั่งได้ ถ้าเราศึกษาการต่อสู้ภายในศาสตร์ของทหารเองก็จะเห็น
มันยังมีกรณีที่ชัดมากซึ่งบอกว่าระบบจากบนลงล่างเช่นนี้ไร้ประสิทธิภาพ คือการต่อสู้ของกองทัพสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่เพิ่งก่อตั้งหลังปฏิวัติ กับกองทัพของพวกขุนนางเก่าในยุโรป ฝ่ายฝรั่งเศสทหารทุกคนรู้ว่าสู้เพื่ออะไร ขณะที่อีกฝ่ายโนบังคับมา ผลสุดท้ายฝรั่งเศสชนะ ไม่ต่างกับกรณีชัยชนะของกองทัพแดง หรือในเวียดนามที่ทหารสหรัฐถูกส่งไปรบ ขณะที่ทหารเวียดกงกลับรู้ว่าตนไปสู้เพื่ออะไร ก็ชนะ
เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ถึงกับเคยอธิบายว่าเราใช้ระบบทหารแบบกลไกมากจึงแพ้
สิ่งที่ต้องทำคือการจัดการขบวนการนักศึกษา และพรรคเรากำลังจะทำ ระบบนี้มันหยั่งรากลึก กลายเป็นไม่ตีลูกลูกไม่รักพ่อแม่ นี่คือความคิดเขา หลายกรณีนักศึกษาถูกกดดัน และความหมกมุ่นของอาจารย์กับรุ่นพี่คือการเบี่ยงเบนคุณภาพการศึกษา
การจะสร้างมิตรภาพ ความรักระหว่างกันมันต้องไม่มีความโหดร้าย ถ้าโหดร้ายแสดงว่ามีการบีบบังคับของอำนาจ แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้การตัดสินใจอาสาสมัครจะหายไป มันไม่ใช่มิตรภาพที่แท้จริงหรอก
บางคนบอกถ้าไม่มีระบบนี้มันอยู่ไม่ได้?
ถ้าคิดว่าระบบนี้ไม่มีแล้วอยู่ไม่ได้แสดงว่าเขาคิดว่าเมืองไทยเป็นวัวและควาย ในต่างประเทศเขาไม่มีแบบนี้ ถ้ามองแบบนี้เขากำลังดูถูกคนไทย สังคมไทย ซึ่งผมจะไม่ทำ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีคนเชื่อเรื่องพวกนี้ไม่ได้มากขึ้น เกิดการตั้งคำถามพอสมควร เพียงแต่คนคัดค้านมันไม่ได้ประสานกัน
เคยมีการถกเถียงเรื่องนี้ในเว็บบอร์ดต่างๆ?
คนที่มาโพสส่วนมากไม่กล้ารับผิดชอบกับแนวทางของเขา ไม่กล้าประกาศชื่อ ไม่กล้าเถียงบนเวที ผมท้าว่าถ้าเขาคิดว่าระบบของเขาดี ผมท้าว่าให้จัดโต้วาทีต่อหน้าน้องปีหนึ่งในห้องเชียร์ ระหว่างนักศึกษาของพรรคแนวร่วมประชาชนกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เอาข้อดีข้อเสียของระบบมาคุยกัน ถ้าเขาคิดว่ามีเหตุผลพอ เขาต้องเปิดโอกาสให้ปี 1 ฟังความคิดที่ขัดแย้งกัน 2 แนว แล้วตัดสินใจเอง ผมเชื่อว่าไม่มีใครกล้าจัด เพราะเขาไม่สามารถ ไม่ได้มีการคิดเอง ใช้แต่อำนาจกดดันคน
ผมเชื่อว่าถ้าคุณรักความเป็นธรรม รักประชาธิปไตย คิดเป็น คุณย่อมไม่เห็นด้วยกับโซตัส...